xs
xsm
sm
md
lg

ทุนนิยมเสรี-ทุนนิยมเผด็จการกับ “แร่หายาก” (จบ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ถ้าหากจะพูดถึงสาเหตุ เหตุปัจจัย ที่ทำให้คุณพี่จีนท่านมาแรงแซงโค้ง กลายเป็นมหาอำนาจคู่แข่งของคุณพ่ออเมริกาแบบชนิดหายใจรดต้นคอกันติดๆ อีกทั้งยังเป็นผู้ครอบครองส่วนแบ่งตลาดส่งออก “แร่หายาก” อันเป็นแร่ที่มีผลต่อ “ห่วงโซ่การผลิต” สินค้าต่างๆ โดยเฉพาะบรรดาสินค้าประเภท “ไฮเทค” ทั้งหลาย ได้ถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์ในช่วงแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเอง ก็น่าจะเป็นเพราะความผิดแผกแตกต่าง ระหว่างความเป็น “ทุนนิยมเผด็จการ” กับความเป็น “ทุนนิยมเสรี” นั่นแล!!!

คือด้วยเหตุเพราะความเป็น “ทุนนิยมเสรี” ของคุณพ่ออเมริกานั่นเอง...ที่ทำให้บรรดาบรรษัทของพวกนายทุนแต่ละบรรษัท เกิดความคล่องตัว สบายตัว ในการย้ายทุน ย้ายโรงงาน ผลิตสินค้าต่างๆ ไปตั้งอยู่ในประเทศที่มีค่าจ้างแรงงานถูกๆ ไม่ต้องเสียเวลา เสียเงิน-เสียทอง ในการคุ้มครองสวัสดิการแรงงาน ไม่ต้องพะวักพะวงกับระเบียบ ข้อห้าม กฎเกณฑ์ต่างๆ ในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมภายในประเทศนั้นๆ ฯลฯ หรือเพื่อช่วยให้เกิดการ “ลดต้นทุนการผลิต” และ “เพิ่มผลกำไร” ให้มากยิ่งๆ ขึ้นไป การตั้งโรงงานผลิตวัสดุ วัตถุดิบ โรงงานผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ จึงกระจัดกระจายกลายเป็น “ห่วงโซ่อุปทาน” ที่กว้างขวาง ใหญ่โต เอามากๆ โดยแม้จะมีผลทำให้บรรดา “นักบริโภคนิยม” อย่างบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย สามารถบริโภคสินค้าต่างๆ ได้แบบถูกลงๆ แต่ก็ย่อมส่งผลให้โรงงาน กระบวนการผลิต วัสดุ วัตถุดิบ และอุปกรณ์ต่างๆ ในอเมริกาจำต้องปิดตัวลงไปเป็นแถบๆ...

ขณะที่การแปลงสภาพจาก “สังคมนิยม” กลายมาเป็น “ทุนนิยม” ของคุณพี่จีน นับตั้งแต่ยุค “4 ทันสมัย” ภายใต้การนำของท่าน “เติ้ง เสี่ยวผิง” เลขาธิการพรรคอมมิวนิสต์จีน ที่ยังไงๆ...คงไม่คิดจะทิ้งอำนาจ อิทธิพล การควบคุมประเทศทั้งประเทศกันง่ายๆ ทุนนิยมแบบจีนจึงกลายเป็น “ทุนนิยมที่มีลักษณะเฉพาะ” หรือเป็น “ทุนนิยมเผด็จการ” ที่มิอาจปล่อยอะไรต่อมิอะไรให้เสรีแบบสุดๆ โดยเฉพาะบรรดาพวก “นายทุน” ทั้งหลาย หรือมักต้องมี “อำนาจรัฐ” เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพัน ไปหันขวา-หันซ้าย เพื่อให้ “ทุน” เหล่านั้น ตอบสนองต่อ “ผลประโยชน์ของมวลชน” มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ไม่ใช่เอาแต่ตอบสนองเฉพาะพวกเศรษฐี อภิมหาเศรษฐี ลูกเดียวเท่านั้น และนั่นเอง...ที่ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตแร่ “Rare Earth” ของจีนในแต่ละบริษัท ล้วนแล้วแต่มี “รัฐบาล” พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพัน เข้าไปถือหุ้นไปด้วยกันทั้งสิ้น...

ดังนั้น...ขณะที่ “ทุนนิยมเสรี” ทำให้โรงงานต่างๆ ในอเมริกาปิดตัวเอง ย้ายไปสู่ประเทศที่มีค่าแรงถูก ไม่ต้องสนใจสวัสดิการหรือสิ่งแวดล้อมใดๆ ก็กลายเป็นช่วงเดียวกับที่ “ทุนนิยมเผด็จการ” อย่างคุณพี่จีนโดดเข้าสู่ตลาดโลก และตั้งเป้ากะจะเป็น “โรงงานของโลก” หรือเป็นที่รวมของ “Supply Chains” ต่างๆ ให้จงได้!!! โดยอาศัยความได้เปรียบจากค่าแรงที่ถูกแสนถูก แทบไม่ต้องสนใจสวัสดิการใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังไม่ต้องปวดเศียรเวียนเกล้ากับกฎระเบียบต่างๆ ที่มีผลต่อสภาวะแวดล้อมมากมายสักเท่าไหร่นัก สามารถปล่อยมลพิษจนแทบจัดกีฬาโอลิมปิกแทบไม่ได้ ฯลฯ การส่งออกแร่หายากอันเป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าต่างๆ ไปยังตลาดโลกของบริษัทจีน จึงเป็นอะไรที่ถูกเป็นขี้ เป็นอุจจาระ หรือสามารถขายใน “ราคาแบบจีนๆ” จนเคยส่งผลให้บางช่วง บางระยะ ราคา “Lanthanum oxide” ที่สกัดจากแร่หายากที่ว่า ซึ่งเคยขายในราคา 100 ดอลลาร์ต่อ 1 กิโลกรัม เหลือเพียงแค่ 2 ดอลลาร์เท่านั้นเอง ราคา “Praseodymium oxide” ที่เคยขายกิโลละ 200 ดอลลาร์ เหลือแค่ 50 ดอลลาร์ต่อกิโล เล่นเอาผู้ผลิตรายใหญ่ของอเมริกา อย่างบริษัท “Molycorp” ที่เคยครองตลาดส่งออกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1960-2000 ถึงกับ “ไปไม่เป็น” เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งต้องเจอกับกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องสร้างเครื่องควบคุมมลพิษที่มีมูลค่าสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์ เลยไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี เอาดื้อๆ!!!

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้บริษัทผลิตแร่หายากของจีนเลยหันไปตะลุยซื้อบริษัทอเมริกันมาเป็นของตัวเอง เช่นบริษัท “Magnequench” ผู้นำธาตุจากแร่หายากมาใช้ประโยชน์กับคอมพิวเตอร์เป็นรายแรก ที่ “เรียบโร้ยย์ย์ย์โรงเรียนจีน” โดยรัฐบาลอเมริกันที่ยังไม่ถึงกับ “ทรัมป์บ้า” มากมายสักเท่าไหร่ในช่วงนั้น ยอมเปิดโอกาสให้มีการซื้อ-ขาย โดยมีข้อแม้ว่าบริษัทจีนจะต้องปฏิบัติการอยู่ในอเมริกาเป็นเวลา 5 ปีเป็นอย่างน้อย แต่หลังจากผ่านไปแล้ว 5 ปี บริษัทดังกล่าวก็ย้ายมาตั้งอยู่ในประเทศจีน พร้อมทั้งคว้าเอาเทคโนโลยีชั้นสูงในกระบวนการสกัด แยกธาตุ ไปจนถึงการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม นำมาตกแต่ง ต่อยอด จนทำให้บริษัทผลิตแร่หายากในเมืองจีน กลายเป็นผู้ครองส่วนแบ่งตลาดของโลกทั้งโลก จำนวนถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์ไปจนได้ สามารถกำหนด “โควตา” การส่งออกในแต่ละปี เพื่อรักษาระดับราคาไม่ให้สูงไป-ต่ำไป โดยแม้ยังไม่ถึงกับคิดใช้อำนาจอิทธิพล แปรสิ่งเหล่านี้ให้กลายเป็น “อาวุธ” มากมายสักเท่าไหร่นัก แม้เคยใช้อยู่บ้างในบางครั้ง บางครา เช่นครั้งที่มีกรณีพิพาทในน่านน้ำกับญี่ปุ่น หรือกรณีที่รัฐบาลอเมริกันเริ่มเอียงข้างเข้าหาไต้หวัน อันนำไปสู่การ “ตัดโควตา” ของบริษัทอุตสาหกรรมการทหารของอเมริกันถึง 3 บริษัท รวมทั้งบริษัท “Lockheed Martin” ที่เป็นผู้ผลิตเครื่องบินรบ “F-35” จนต้องออกอาการหัวทิ่ม หัวต่ำ อยู่บ้างในบางช่วง บางระยะ ฯลฯ...

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...เลยทำให้รัฐบาลอเมริกันช่วงหลังๆ ชักออกอาการ “สะดุ้ง” หรือ “ผงะ” ต่อพลังอำนาจของทุนนิยมเผด็จการชนิดที่ผู้นำประเทศอย่างคุณปู่ “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ ไบเดน” ถึงกับต้องออกปากเมื่อเร็วๆ นี้ว่า... “จีนคือตัวสร้าง...ความเสี่ยงให้กับห่วงโซ่การผลิต หรือระบบ Supply Chains ของอเมริกา” หรือถึงขั้นกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ต้องหันไปทุ่มทุน ทุ่มเทงบประมาณประมาณ 30 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้บริษัทผลิตแร่ชนิดนี้ของออสเตรเลีย คือบริษัท “Lynas Corporation” เข้ามารื้อฟื้นสร้างโรงงานผลิตแร่ “Rare Earth” ในรัฐเท็กซัส รวมทั้งพยายามกระจาย “ความเสี่ยง” ด้วยการร่วมมือ-ร่วมไม้กับบรรดาประเทศพันธมิตรที่มีแหล่งแร่และมีขีดความสามารถพอที่จะตอบสนองความต้องการต่อแร่ชนิดนี้ ได้อย่างจริงๆ จังๆ ก่อนที่ขีดความสามารถการผลิตสินค้าไฮเทคทั้งหลายของอเมริกา จะถูกมัดมือ-มัดตีน มากมายเกินไปกว่านี้...

อย่างไรก็ตาม...แม้คุณพี่จีนท่านยังไม่คิดแปลงสภาพอำนาจ อิทธิพล ในเรื่องราวเหล่านี้ ให้กลายเป็น “อาวุธ” เหมือนอย่างที่คุณพ่ออเมริกาพยายามใช้อำนาจ อิทธิพล ของ “เงินดอลลาร์” เป็นเครื่องมือ แต่ล่าสุด...เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมานี่เอง หรือเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ในการผลิตแร่หายาก 3 บริษัทของจีน ที่ต่างมีรัฐบาลเป็นหุ้นส่วนด้วยกันทั้งสิ้น คือบริษัท “China Minmetals Corp” บริษัท “Aluminum Corp of China” และบริษัท “Ganzhou Rare Earth Group Corp” ที่ผู้นำจีนประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เคยเดินทางไปเยี่ยมเยือนเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ได้ป่าวประกาศที่จะควบรวมกิจการให้เป็นบริษัทเดียว โดยแต่ละบริษัทจะถือหุ้นในบริษัทใหม่รายละ 20 เปอร์เซ็นต์ และมอบหมายให้หน่วยงานของรัฐอย่าง “SASAC” หรือ “Supervision and Administration Commission” ที่ถือหุ้นประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้บริหาร...

ด้วยเหตุนี้...การหันขวา-หันซ้าย การกำหนดทิศทางความเป็นไปของตลาดส่งออกแร่หายากในอนาคตเบื้องหน้า อันจะมีผลต่อการผลิตบรรดาสินค้าไฮเทคทั้งหลาย ไม่ว่าตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ ทีวี รถยนต์ เครื่องมือทางการแพทย์ ระบบสื่อสาร พลังงานสะอาด ไปจนถึงอุตสาหกรรมทหารโน่นเลย ฯลฯ หรือมีผลต่อการกำหนดความเป็นไปของธุรกิจห่วงโซ่อุปทานในแต่ละรูป แต่ละแบบ จึงน่าจะเป็นอะไรที่เป็นเรื่อง-เป็นราว หรือเป็นไปตามวัตถุประสงค์และความต้องการของ “ทุนนิยมเผด็จการ” ยิ่งๆ ขึ้นไป...

ส่วนความพยายาม “เตะตัดขา” คุณพี่จีนมาตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” จนถึงยุค “โจ ซึมเซา” ก็ยังไม่คิดจะเลิกเอาง่ายๆ ของประเทศหัวขบวน “ทุนนิยมเสรี” โดยมีสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเป็นเครื่องมือ สุดท้ายแล้ว...จะส่งผลต่อการเอาแพ้-เอาชนะ ของแต่ละฝ่ายมาก-น้อยเพียงใด ใครใหญ่-ใครอยู่ ใครไป-ใครไม่ไป อันนี้...คงต้องติดตามชมกันต่อไปในอนาคตเบื้องหน้านั่นแหละท่าน!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น