xs
xsm
sm
md
lg

ทุนนิยมเสรี-ทุนนิยมเผด็จการกับ “แร่หายาก” (1)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


แร่ Rare Earth
ในช่วงจังหวะที่ยังไม่ถึงกับมีอะไรใหม่ๆ ...คงต้องขออนุญาตฉีกกรอบ แหวกกรอบ ไปว่ากันถึงเรื่อง “แร่หายาก” หรือที่เรียกๆ ในภาษาปะกิตว่า “Rare Earth” อันถือเป็นวัสดุ วัตถุดิบ ที่มีความสำคัญเอามากๆ ต่อวงจรธุรกิจประเภท “ห่วงโซ่การผลิต” หรือ “Supply Chains” ทั้งหลาย และส่งผลให้ “ความขาดแคลน” ต่อสินค้าประเภทนี้ กำลังกลายเป็นตัวผลักดันให้เกิด “ภาวะเงินเฟ้อ” ในแต่ละประเทศ ชนิดพุ่งพรวดๆ พราดๆ แบบระเบิดเถิดเทิงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ...

ยิ่งไปกว่านั้น...สิ่งที่เรียกว่า “Rare Earth” หรือ “แร่หายาก” ที่ว่านี้...ยังอาจถือเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความผิดแผกแตกต่าง ระหว่างระบบเศรษฐกิจแบบที่เรียกว่า “ทุนนิยมเสรี” อันมีมหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกาเป็นหัวขบวน กับ “ทุนนิยมเผด็จการ” ที่มีมหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนเป็นต้นแบบ ที่ตามหายใจรดต้นคอไปติดๆ หรือทำท่าว่ากำลังใกล้จะแซงหน้า แซงโค้งคุณพ่ออเมริกา แถวๆ หน้าวัดเบญฯ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ โดยมีสิ่งที่เรียกว่า “Rare Earth” หรือ “แร่หายาก” ตัวนี้ เข้าไปเกี่ยวข้อง พัวพัน อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย...

คือสิ่งที่เรียกว่า “แร่หายาก” นั้น...อันที่จริงคงไม่ถึงกับ “หายาก” หรือไม่ถึงกับ “Rare” มากมายสักเท่าไหร่ หรือเป็นแร่ที่มีกระจัดกระจายอยู่ในแต่ละซีกโลก ไม่ต่างไปจากทองแดง ดีบุก หรือแร่เหล็ก อะไรประมาณนั้น แต่เหตุที่เรียกว่า “Rare” กันมาแต่แรก ก็น่าจะเป็นเพราะคนสวีเดนที่เป็นผู้ค้นพบแร่ชนิดนี้อยู่ภายในก้อนหินสีดำ ในเหมืองแร่ชื่อว่า “Ytterby” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 1788 นั้น เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน ก็เลยถือว่า “Rare” กันมาตั้งแต่นั้น ส่วนคำว่า “Earth” ที่ถูกนำมาห้อยท้าย ต่อท้ายก็ถือเป็นคำเรียกโดยปกติธรรมดา ของบรรดานักธรณีวิทยายุคนั้น ต่อสิ่งที่สามารถย่อยสลายด้วยกรด คำว่า “Rare Earth” หรือ “แร่หายาก” จึงกลายเป็นคำเรียกขานสินแร่ชนิดนี้นับแต่นั้นเป็นต้นมา...

โดยในช่วงแรกๆ...มันคงไม่ถึงกับมีความสำคัญต่อแวดวงธุรกิจ การค้า การอุตสาหกรรม ฯลฯ มากมายสักเท่าไหร่ เพราะยังไม่สามารถแยกเอา “ธาตุ” แต่ละตัว ซึ่งมีอยู่ในสินแร่ชนิดนี้ ไม่ว่าจะเป็น Cerium, Lanthanum, erbium, terbium, neodymium, praseodymium ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรที่ออกไปทาง “เอี้ยมๆ” ทั้งหลาย ซึ่งว่ากันว่ามีอยู่ถึง 17 ตัว หรือ 17 ธาตุด้วยกัน ออกมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล จนกระทั่งเมื่อผ่านไปเกือบเป็นร้อยๆ ปีนั่นแหละ นักวิทยาศาสตร์เคมีชาวเยอรมัน ชื่อว่า “Carl Auer von Welsbach” ที่มีหัวทางด้านธุรกิจ การค้า ถึงได้นำเอาธาตุตัวหนึ่งที่แยกออกมาจากแร่ชนิดนี้มาผสมกับเหล็ก เรียกว่า “Ferro Cerium” มาใช้ประโยชน์ในทางการค้า นำมาทำตะเกียง ทำที่จุดบุหรี่ หรือช่วยการจุดระเบิดเครื่องยนต์ ฯลฯ โดยอาศัยคุณสมบัติการลุกโพลงในส่วนประกอบของแร่ชนิดนี้ อันถือเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งออกแร่ดังกล่าว จากบราซิล อินเดีย อเมริกาไปยังตลาดต่างๆ ที่พอรู้จักการนำมาใช้ประโยชน์ได้มั่ง...

จนกระทั่งเมื่อเกือบอีกร้อยปีผ่านไป หรือในช่วงศตวรรษที่ 20 ความสำเร็จในการแยกธาตุยูเรเนียม เพื่อเอามาทำระเบิดนิวเคลียร์ของคุณพ่ออเมริกา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง ที่กลายเป็นกระบวนการนำร่องไปสู่การแยกธาตุแต่ละธาตุออกมาจาก “แร่หายาก” ตัวนี้ จนกลายเป็น “ธาตุบริสุทธิ์” ที่สามารถเอาไปผสมปนเปกับอะไรต่อมิอะไรเพื่อประโยชน์ได้ชนิดเยอะแยะตาแป๊ะไก๋ ยิ่งในช่วงที่มีการแข่งขันสร้างอำนาจ ช่วงชิงอำนาจ ระหว่างโลกทุนนิยมกับโลกสังคมนิยม หรือระหว่างคุณพ่ออเมริกากับอดีตสหภาพโซเวียต การใช้ประโยชน์จากธาตุบริสุทธิ์ซึ่งถูกสกัดจากแร่ดังกล่าว จึงเริ่มเป็นเรื่อง-เป็นราวยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เช่น ขณะที่กองทัพอากาศอเมริกาประสบความสำเร็จในการนำเอาธาตุบางตัวมาใช้พัฒนาระบบเรดาร์ ฝ่ายโซเวียตก็ประสบความสำเร็จในการเอาธาตุบางตัวมาผสมกับอะลูมิเนียม ทำให้เกิดความแข็งแกร่งและความอ่อนตัวเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเครื่องบิน “Mig-19” เอาเลยในช่วงนั้น...

สรุปว่า...ยิ่ง “เทคโนโลยี” ยิ่งก้าวหน้า ก้าวไกล ยิ่งขึ้นเท่าไหร่ การใช้ประโยชน์จากธาตุบริสุทธิ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในแร่ชนิดนี้ ยิ่งเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น ไม่ว่าจะนำไปใช้เป็นส่วนประกอบของ “Hydride Battery” ที่สามารถชาร์จไฟได้ซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า นำไปเป็นส่วนประกอบของกล้องถ่ายวิดีโอ นำไปใช้กับรถยนต์ไฮบริด อย่าง “Toyota Prius” หรือนำมาใช้กับส่วนประกอบต่างๆ ในรถยนต์ของบริษัท “General Motors” ไม่ว่าเครื่องยนต์ ตัวล็อก ระบบหน้าต่าง ระบบใบพัดมอเตอร์ ระบบจุดระเบิดแบบอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ ไปจนกระทั่งถูกนำไปใช้เป็นส่วนประกอบในฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์ส่วนตัวใช้กับสายส่ง “Fiber-optic” ใช้กับระบบโทรศัพท์ “iPhone” และ “Smartphone” ที่ทำให้กระจกเลนส์ถ่ายรูปไม่บิดเบี้ยว หรือทำให้คุณภาพเสียงในการพูด การจา ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไป หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ธาตุบริสุทธิ์ทั้ง 17 ชนิดในแร่หายากตัวนี้ ถูกนำไปผสม ไปเป็นองค์ประกอบของบรรดาสินค้าประเภท “ไฮเทค” ทั้งหลาย ตั้งแต่...ไม้จิ้มฟันไปยันเรือรบเอาเลยก็ว่าได้ หรือตั้งแต่โทรศัพท์มือถือไปจนถึงเครื่องบินเจ็ต ชนิดแม้แต่เครื่องบินโจมตีรุ่นล่าสุดของอเมริกา อย่าง “F-35” ว่ากันว่าต้องอาศัยส่วนประกอบของแร่ชนิดนี้ ลำละไม่ต่ำกว่า 920 ปอนด์เป็นอย่างน้อย...ฯลฯ ฯลฯ

แม้แต่ความพยายามแสวงหาเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้เกิด “พลังงานสะอาด” มาใช้ทดแทนพลังงานฟอสซิลทั้งหลาย ก็มีแต่ต้องอาศัยธาตุบางตัวของแร่ชนิดนี้ เข้าไปเป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย เช่นเอาไปประกอบไว้ในมอเตอร์กังหันลม ที่ทำหน้าที่ผลิตไฟฟ้า เป็นต้น หรือการหันมาใช้ “รถไฟฟ้า” แทนรถประเภทเครื่องยนต์ดีเซลทั้งหลาย ตลอดไปจนถึงเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ฯลฯ ก็หนีไม่พ้นต้องหันไปพึ่ง “Rare Earth” อีกนั่นแหละ อย่างไรก็ตาม...การมีแค่เฉพาะแร่ชนิดนี้ หรือแหล่งแร่เหล่านี้ เอาไว้ในครอบครอง คงไม่ถึงกับทำอะไรได้มากมายสักเท่าไหร่ เนื่องจากสิ่งที่ “ยาก” เอามากๆในการใช้ประโยชน์จากแร่ดังกล่าว ก็คือกระบวนการในการสกัดแยกธาตุแต่ละตัวออกมาจนกลายเป็น “ธาตุบริสุทธิ์” แต่ละชนิด ที่ไม่เพียงแต่ต้องอาศัยประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ หรือเทคโนโลยีขั้นสูง ชนิดยิ่งสูงเท่าไหร่ยิ่งสามารถ “ลดต้นทุนการผลิต” ได้ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น แต่ยังต้องระมัดระวังผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมภายใต้กระบวนผลิตอย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย โดยเฉพาะของเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการแยก การสกัดธาตุต่างๆ ไม่ว่ากัมมันตรังสี มลพิษ มลภาวะ กรดต่างๆ ที่อาจชำแรก แทรกซึม ไปตามแหล่งน้ำ ตามบรรยากาศ ได้เสมอๆ...

ดังนั้น...ประเทศที่มีความก้าวหน้า ก้าวไกล มีเทคโนโลยีสูงเอามากๆ อย่างคุณพ่ออเมริกา จึงมีฐานะเป็นผู้ครอบครอง “ตลาดโลก” ในการส่งออกแร่ชนิดนี้ ตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1960 เป็นต้นมา ไปจนถึงปี ค.ศ. 2000 โดยเฉพาะภายใต้กระบวนการผลิตของบริษัท “Molybdenum Corporation” หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “Molycorp” ที่มีเหมืองแร่ “Rare Earth” อยู่ในภูเขา “Mountain Pass” กลางทะเลทรายแคลิฟอร์เนีย แถวๆชายแดนรัฐเนวาดา แต่เอาไป-เอามา...เพียงแค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้นเองภายใต้การมาแรงแซงโค้ง ของพญามังกรจีน ที่สามารถผงาดขึ้นเป็น “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกา ชนิดใกล้ๆ จะแซงหน้าแถวๆ โค้งวัดเบญฯ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า แทบไม่น่าเชื่อ-แต่ก็คงต้องเชื่อนั่นแหละ...เพราะโดยตัวเลข สถิติของหน่วยงาน อย่าง “US Geological Survey” ของอเมริกันเอง สรุปไว้ชัดเจนว่า...ว่านับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา ประเทศทุนนิยมเผด็จการอย่างจีน กลับกลายเป็นผู้ครอบครองตลาดส่งออก “แร่หายาก” ไม่น้อยกว่า 60-80 เปอร์เซ็นต์ ของตลาดโลกทั้งมวล!!!

และการมีอำนาจครอบครองส่วนแบ่งตลาดของแร่ชนิดนี้มากถึง 60 หรือ 80 เปอร์เซ็นต์นี่เอง จึงทำให้วัสดุ วัตถุดิบ หรือองค์ประกอบในการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ เพื่อประกอบเข้าเป็นสินค้าประเภท “ไฮเทค” ในแต่ละชนิด จึงหนีไม่พ้นต้องขึ้นอยู่กับคุณพี่จีนเขานั่นแหละ ว่าจะสร้างความขาดแคลน-ไม่ขาดแคลน ลื่นไหล-ไม่ลื่นไหล ให้กับการส่งออกแร่ชนิดนี้สู่ตลาดโลกในแบบไหน? อย่างไร? เพราะถ้าดูจากอำนาจ อิทธิพล ของกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันอย่าง “OPEC” ที่ครองส่วนแบ่งตลาดสินค้าพลังงานเพียงแค่ 41 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แต่ยังสามารถหันซ้าย-หันขวาโลกทั้งโลกมาได้นับทศวรรษๆ ดังนั้น...การครองส่วนแบ่งตลาดการผลิตแร่หายาก หรือ “Rare Earth” จำนวนถึง 60-80 เปอร์เซ็นต์ของคุณพี่จีน จะนำไปสู่อะไร แบบไหนและอย่างไร อันนี้นี่เอง...เลยคงต้องพยายาม “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ไว้ซะแต่เนิ่นๆ โดยจะมีรายละเอียดเป็นไปในแบบใดเช่นใด คงต้องขออนุญาตลากต่อไปอีกวันก็แล้วกัน...


กำลังโหลดความคิดเห็น