xs
xsm
sm
md
lg

Omicron ถึงไม่ร้ายแต่ก็ประมาทมิได้!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ร้าย-ไม่ร้าย แรง-ไม่แรง หรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่...แต่คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า ท่านเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ อย่าง “Omicron” นั้น ออกจะ “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย คือเล่นเอาใครต่อใครเกิดการ “ติดเชื้อ” วันละนับเป็น “ล้านคน” และไม่ใช่แค่ในระดับโลกทั้งโลก ที่เพิ่งติดเชื้อกันแบบพรวดๆ พราดๆ วันละประมาณ 1.4 ล้านคน อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้ว เมื่อช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่เพียงเฉพาะประเทศเดียว คือประเทศ “แชมป์โรค” อย่างคุณพ่ออเมริกานั่นแหละทั่น!!! แทบไม่น่าเชื่อ-แต่คงต้องเชื่อ ว่าได้ “ทุบสถิติ” แหลกลาญไปแล้ว ด้วยจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อเพียงวันเดียว พุ่งขึ้นไปเกินกว่าล้านคน เมื่อช่วงวันจันทร์ (3 ม.ค.) ที่ผ่านมา...

โดยตัวเลขสถิติจากองค์กร-สถาบัน อันเป็นที่น่าเชื่อ น่าศรัทธา มิใช่น้อย นั่นคือ “JHU” หรือ “John Hopkins University” ที่ได้ออกมาป่าวประกาศเอาไว้แบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่าด้วยการรวบรวมตัวเลขสถิติจากเมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 3 มกราคม ที่เพิ่งผ่านมานี่เอง หรือช่วงหลังจากที่บรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย ได้มีโอกาส “ฉลองคริสต์มาส” และ “ฉลองปีใหม่” แบบชนิดไม่ถึงกับระเบิดเถิดเทิงมากมายสักเท่าไหร่ แต่กระนั้นก็ตาม...ยังส่งผลให้ตัวเลข สถิติ “ผู้ติดเชื้อ” ในประเทศอเมริกา พุ่งพรวดๆ พราดๆ ทิ้งห่างบรรดาประเทศต่างๆ แบบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง คือติดกันวันเดียวปาเข้าไปถึง 1,082,549 ราย โดยเฉพาะในแถบรัฐแมรีแลนด์, แอละบามา, เดลาแวร์, นิวเจอร์ซี และโอไฮโอ ฯลฯ โอกาสที่จะ “Back to work, Back to school, Back to joy” อย่างที่ผู้นำประเทศ “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” เพิ่งออกมาปลอบประโลมไปเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา แทบจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย มีแต่ต้องนอนแซ่ว นอนซม อยู่ภายในบ้าน ในควอรันธีน หรือในโรงพยาบาลพะงาบๆ กันไปตามมี-ตามเกิด...

คือด้วยเหตุที่มัน “แพร่” ได้เร็ว “ระบาด” ได้เร็วเอามากๆ...เห็นว่ามากกว่าเชื้อตัวเดิมอย่าง “Delta” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แม้ว่าโดยลักษณะอาการมันอาจไม่ถึงกับร้ายกาจ ร้ายแรง สนุกสนานกับการกินปอด กินตับ อะไรมากมายนัก แค่ไอค๊อกๆ แค๊กๆ ไอกระด๊อกกระแด๊ก ไปตามเรื่อง ตามราว คล้ายๆ กับ “ไข้หวัด” อะไรประมาณนั้น แต่ย่อมสามารถส่งผลให้ต้องนอนซม นอนแซ่ว หรือกระทั่งเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง กันในบางรายได้เช่นกัน และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่มันได้กลายเป็นตัวส่งผลให้ “ระบบสาธารณสุข” ของแต่ละประเทศ ชัก “รับไม่ไหว” ขึ้นมาได้ง่ายๆ อย่างเช่นประเทศผู้ดีอังกฤษ ที่ตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นไปถึง 157,758 ราย กลายเป็นแรงกด แรงดัน ให้หน่วยงานด้านการบริการสาธารณสุขแห่งชาติ หรือ “NHS” (National Health Services) โดยหัวหน้าคณะผู้บริหารอย่าง “นายMatthew Taylor” หนีไม่พ้นต้องออกมาป่าวประกาศว่า กำลังจะเกิด “วิกฤต” ในระดับ “A State of Crisis” ต่อระบบสาธารณสุขทั้งมวลของประเทศอังกฤษในอีกไม่นานนับจากนี้ อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อ “Omicron” ที่พุ่งพรวดๆ พราดๆ ชนิดไม่คิดจะหัวตก เหี่ยวปลาย ลงไปซักกะที!!!

นี่...มันชักจะหนักหนา-สาหัส ไปถึงขั้นไหน แบบไหน และอย่างไร อาจพอนำมาใช้เป็นตัวอย่าง เป็นอุทาหรณ์สอนใจได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย สำหรับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ที่จำนวนตัวเลข “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน ยังไม่ถึงกับไปไกล ไปแล้ว ไปเลย มากมายสักเท่าไหร่ คือลดลงมาเหลือแค่ประมาณหลักพัน ไม่ปาเข้าไปเป็นแสนๆ หรือเป็นล้านๆ แบบผู้ดีอังกฤษ หรือคุณพ่ออเมริกาเขา ที่บรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ” หลายต่อหลายรายเชื่อว่าโดย “ตัวเลขจริง” มันอาจสูงยิ่งไปกว่านั้นอีกหลายเท่า และด้วยการ “เพิ่มจำนวน” ของผู้ที่จำต้องเข้ารับการรักษา เยียวยา หรือดูแลในลักษณะหนึ่ง ลักษณะใดก็ตาม ที่เพิ่มกันแบบพรวดๆ พราดๆ มันเลยทำให้ “ระบบสาธารณสุข” ของประเทศที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ ก้าวหน้าและทันสมัยเอามากๆ อย่างประเทศอังกฤษ เริ่มเกิดปัญหาการขาดแคลนบุคลากร ขาดเครื่องมือ อุปกรณ์ ไปจนถึงเม็ดเงินงบประมาณ ฯลฯ จนส่งผลให้ฉากสถานการณ์ใกล้ถึง “จุดวิกฤต” เต็มที หรือโดยมีคณะกรรมการ “NHS” ถึง 6 รายที่เห็นว่าได้ถึง “จุดวิกฤต” ไปเรียบร้อยแล้ว...

ดังนั้น...แม้ว่าการเจอกับเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ตัวใหม่ อย่าง “Omicron” นั้น มันอาจไม่ถึงกับน่าเกลียด น่ากลัว เท่ากับสายพันธุ์ “Delta” มากมายสักเท่าไหร่ แต่ถ้าหากไม่เตรียมตัว ไม่เตรียมรับมือ ไม่ยกการ์ดให้สูงๆ เข้าไว้ โอกาสที่มันจะเกิดการติดเชื้อ แพร่เชื้อชนิด “ระบบสาธารณสุขทั้งระบบ” แบกรับแทบไม่ไหว ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย ยิ่งโดยเฉพาะ “กระบวนการกลายพันธุ์” ของเชื้อไวรัสตัวใหม่ มันออกจะมีผลทำให้ “วัคซีนตัวเดิม” ไม่ว่าวัคซีนเทพ-หรือไม่เทพ ก็แล้วแต่ อาจลดขีดความสามารถในการปกป้อง คุ้มครองลงไป ไม่รู้กี่สิบต่อกี่สิบเปอร์เซ็นต์ ต้องหันไปฉีดเข็มสาม เข็มสี่ หรือจะอีกกี่เข็มต่อกี่เข็ม ก็ยังมิอาจสรุปได้ อันนี้นี่แหละ...ที่จะมีผลไปถึงบรรดาบุคลากร เครื่องมือ อุปกรณ์ และงบประมาณต่างๆ ที่ถ้าหากไม่ได้ตระเตรียมเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ โอกาสที่จะนำมาซึ่ง “A State Crisis” ย่อมเป็นไปได้ไม่ยาก...

อีกทั้งการกลายพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบ กรรมวิธี ของท่านเชื้อไวรัสโควิดหลังๆ นี้ ก็แทบตามไม่ได้-ไล่ไม่ทัน เอาเลยก็ว่าได้ เช่น ในอิสราเอล ท่านดันไปผสมกับเชื้อไข้หวัดธรรมดาๆ ในแบบไหน อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจน แต่ว่ากันว่า...ผู้ที่ต้องเจอกับการผสมผสานของเชื้อไวรัสในลักษณะที่ว่า แม้ไม่ถึงปอดหาย ปอดแหก แต่เล่นเอาเกิดอาการ “กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ” หรือเกิดอาการ “myocarditis” ชนิดสามารถเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ได้เช่นกัน หรือในฝรั่งเศส ที่เพิ่งพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ๆ ซึ่งเดินทางกลับมาจากประเทศแคเมอรูน หรือเชื้อ “B.1.640.2” ที่ว่ากันว่าได้เกิดกระบวนการกลายพันธุ์เพิ่มขึ้นกว่าเชื้อตัวเดิมๆ ถึง 46 จุดด้วยกัน มากซะยิ่งกว่าเชื้อ “Omicron” ไปซะอีกต่างหาก โดยจะร้าย-ไม่ร้าย แรง-ไม่แรง หรือเร็ว-ไม่เร็ว ก็ยังยากที่จะให้คำตอบได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ส่งผลให้วัคซีนเทพ-และไม่เทพทั้งหลาย ออกอาการมึนซ์ซ์ซ์ๆ เบลออ์อ์ๆ ไม่อาจปกป้อง คุ้มกัน หรือไม่อาจสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับผู้ติดเชื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ได้อีกต่อไป มีแต่ต้องหันไปฉีดเข็มสาม เข็มสี่ หรือเข็มที่เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ ก็มิอาจคาดคำนวณได้...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้บรรดาประเทศต่างๆ คงหนีไม่พ้นต้องสวมการ์ด ต้องยกการ์ดสูงๆ เข้าไว้ หรือต้องยกระดับมาตรการคุมเข้ม-ไม่เข้ม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยจะนานไปอีกสักเท่าไหร่? เมื่อไหร่?? และตอนไหน??? ก็ยังยากที่จะคาดเดาออกมาได้ชัดๆ และนั่นเองที่จะทำให้เกิดสิ่งที่ผู้อำนวยการด้านนโยบายการเงินของธนาคารกลางรัสเซีย อย่าง “นายKirill Tremason” ท่านเรียกว่า “ข้อจำกัดในระยะยาว” สำหรับภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ หรือทำให้การคิดฟื้นตัว ฟื้นสภาพทางเศรษฐกิจ ให้กลับไปสู่จุดเดิม เหมือนเดิม “Back to work, Back to joy” กับอัตราการเติบโต การขยายตัวของตัวเลขจีดีพีในแต่ละประเทศ มันน่าจะลำบากยากเย็น ยิ่งขึ้นไปใหญ่...

ไม่ว่าจะเป็น “หัวขบวนทุนนิยมโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกา ที่เตรียมเงินดอลลาร์เพื่ออัดฉีดไว้ในระดับนับ “ล้านล้านดอลลาร์” ไปจนถึงประเทศรวยๆ อย่าง G7 หรือ G เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ที่เครื่องยนต์ติดๆ-ดับๆ อยู่ในทุกวันนี้ ต่างหนีไม่พ้นต้องเจอกับฉากสถานการณ์เดียวกันไปโดยตลอด ดังนั้น... “วิกฤต” ที่จะตามมา หลังจากวิกฤตด้านสาธารณสุขมันยังคงไม่แล้วเสร็จ ย่อมหนีไม่พ้นไปจาก “วิกฤตเศรษฐกิจ” นั่นเอง!!! โดยมันจะก่อให้เกิด “สึนามิ” ทางการเงิน การค้า การลงทุน ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน ก็ยังยากที่จะคาดคำนวณได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...หนีไม่พ้นต้อง “ทำใจ” และ “ทัมใจ” ต้องหันไปเตรียมยาแก้ปวดหัวเอาไว้ก่อนล่วงหน้านั่นแหละทั่น!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น