ถึงแม้นจะเบาใจได้บ้างนิดๆ...ว่าการ “กลายพันธุ์” ของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่รู้จักกันในนาม “Omicron” นั้น ไม่น่าจะถึงกับ “แรง” มากมายสักเท่าไหร่ แค่ไอค๊อกๆ แค๊กๆ ไอกระด๊อกกระแด๊ก อ่อนเพลียระเหี่ยใจไปเป็นช่วงๆ เป็นระยะๆ พอๆ กับผู้ที่เจอกับ “ไข้หวัด” อะไรทำนองนั้น แต่ด้วยความ “เร็ว” ในการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ของไวรัสตัวใหม่ตัวนี้ มันชักจะกลายเป็นเรื่อง-เป็นราว เอาเรื่อง-เอาราว ยิ่งเข้าไปทุกที จนต้องหันมาให้ความสนใจกันมั่งแล้วนั่นแหละทั่น!!!
เพราะถ้าฟังจากข่าวคราวของบรรดาผู้ติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ที่ประเทศผู้ดีอังกฤษ ซึ่งกำลังปวดหัว ปวดหำ หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพราะการแพร่ระบาดของสายพันธุ์ดังกล่าว มันก็น่าจะ “ผงะ” อยู่ไม่น้อยเหมือนกัน คือเห็นว่า...แค่ช่วงแรก รายแรก ของการค้นพบผู้ติดเชื้อ “Omicron” เมื่อช่วงปลายๆ เดือนที่แล้ว หรือประมาณ 27 พฤศจิกาฯ ที่ผ่านมานี่เอง แต่ผ่านไปแค่ไม่กี่สิบวัน หรือประมาณครึ่งเดือนเท่านั้นเอง ว่ากันว่า...บรรดาผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อันมีที่มาจากสายพันธุ์ “Omicron” ในประเทศอังกฤษนั้น ปาเข้าไปถึงประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมด หรือเกือบ 44 เปอร์เซ็นต์ถ้าคิดเฉพาะภายในกรุงลอนดอน หรือพูดง่ายๆ...มันแพร่เร็ว ระบาดเร็ว อย่างน่าตกตะลึงพรึงเพริดเอามากๆ...
หรืออย่างที่ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก “WHO” (ผู้ที่มีชื่อเรียกยากฉิบหาย) คือ “นายเทดรอส อดานอม เกเบรเยซุส” (Tedros Adhanom Ghebreyesus) ท่านได้ออกมาสารภาพ หรือออกมาสรุปเอาไว้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า “เราอาจประเมินไวรัสชนิดนี้...ต่ำเกินไป!!!” หรือแม้โดยลักษณะอาการของการ “ติดเชื้อ” มันอาจไม่ถึงกับหนักหน่วงรุนแรงมากมายสักเท่าไหร่ แต่ด้วยอัตราความเร็วของการ “แพร่เชื้อ” นี่สิ!!! มันอาจถึงขั้นเล่นเอา “ระบบสาธารณสุข” ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะที่ไม่ได้มีการเตรียมตัวรับมือให้รัดกุมเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อาจถึงขั้นล่มสลาย พังครืน ลงมาเลยก็ไม่แน่ อย่างในอังกฤษที่มีผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทำสถิติทะลุเพดาน ทะลุหลังคา ไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (17 ธ.ค.) หรือพุ่งพรวดไปถึงวันละ 93,000 ราย ในจำนวนนี้...ว่ากันว่าเป็นผู้ติดเชื้อ “Omicron” ถึง 25,000 รายด้วยกัน แถมยังต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงไปแล้วไม่ต่ำกว่า 7 ราย คือไม่ใช่แค่ไอค๊อกแค๊ก ไอกระด๊อกกระแด๊ก ชนิดสามารถให้ยาแล้วสั่งให้กลับบ้านได้เท่านั้น แต่อาจถึงขั้นต้องนอนป่วย นอนติดเตียงอยู่ในโรงพยาบาล ไปจนถึงขั้นตายไปเลยก็ยังมี...
แถมบรรดาผู้ติดเชื้อทั้งหลาย...ต่างก็เคยถูกฉีด ถูกจิ้ม ถูกทิ่ม “วัคซีน” มาก่อนหน้านั้นแล้วด้วยกันแทบทั้งนั้น แต่ก็ยังคง “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันแทบทั้งสิ้น หรืออาจต้องตามไปฉีดเข็มสาม เข็มสี่ หรือจะอีกกี่เข็มก็ยังมิอาจสรุปได้ ส่งผลให้บรรดาผู้ที่ต้อง “แอดมิด” ต้องเข้าไปนอนพะงาบๆ อยู่ในโรงพยาบาลอังกฤษในแต่ละแห่ง มีโอกาสเพิ่มจำนวนเป็นวันละ 3,000 คน เป็นอย่างน้อย สร้างความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าให้กับบรรดาบุคลากรทางการแพทย์ทั้งหลาย ที่ไม่เพียงแต่ต้องคอยดูแลคอยประคบประหงม บรรดาผู้ป่วยทั้งหลาย ยังต้องดาหน้าออกไปไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีน ให้เพิ่มจำนวนคน จำนวนเข็มให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ผู้ซึ่งมีอำนาจ-หน้าที่-และความรับผิดชอบ โดยเฉพาะรัฐบาลแต่ละรัฐบาล ต่างหนีไม่พ้นต้องปวดหัว ปวดหำ ไปตามๆ กัน...
สำหรับผู้นำอังกฤษ อย่างนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์นสัน” นั้น แทบไม่ต้องพูดถึงว่าจะต้องหัวกระเซิงไปอีกถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แม้คิดจะหวนกลับไปออกมาตรการ “คุมเข้ม” ในช่วงหลังวันคริสต์มาส ห้ามไม่ให้รวมตัวกันในที่ร่ม ที่แจ้ง ให้กลับไปเวิร์ค ฟอร์ม โฮม ให้สวมหน้ากาก ฯลฯ หรืออะไรต่อมิอะไรก็ตาม แต่ย่อมหนีไม่พ้นต้องเจอกับการต่อต้าน การประท้วง ของบรรดาผู้ดีอังกฤษ ผู้หวงแหน “เสรีภาพ” ชนิดพร้อม “ลงถนน” ได้ทุกเมื่อ เช่นเดียวกับชาวยุโรปในแต่ละประเทศไม่ว่า ฝรั่งเศส เยอรมนี ออสเตรีย อิตาลี ฯลฯ ที่ยังคงเกิดการประท้วงต่อมาตรการคุมเข้มในระดับต่างๆ กลายเป็นข่าวคราวไม่เว้นในแต่ละวัน ยิ่งเมื่อเจอกับการยื่นใบลาออกของรัฐมนตรีร่วมรัฐบาล เจอกับการแพ้เลือกตั้งซ่อมคราวล่าสุด แถมยังเจอกับภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งทะยานสูงสุดในรอบ 10 ปี ฯลฯ ยังไงๆ...คงแทบไม่เหลือเวลาหวีผม ตกแต่งทรงผมใดๆ ได้เลย สำหรับผู้นำประเทศอดีตจักรวรรดินิยมรายนี้...
ไม่ต่างไปจาก “แชมป์โรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาเขานั่นแหละ...ที่แม้จะมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมนับจากการเริ่มต้นแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ปาเข้าไปแล้วกว่า 50 ล้านราย หรือ 50,777,087 ราย เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 806,302 ราย แต่เมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของเชื้อตัวใหม่อย่าง “Omicron” อะไรต่อมิอะไรมันจะพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคาไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้ แม้จะไล่ฉีด ไล่จิ้ม ไล่ทิ่มวัคซีนไปแล้วถึงเกือบ 500 ล้านโดสหรือ 491,254,695 โดสก็เถอะ แต่ในเมื่อเข็มหนึ่ง เข็มสอง ก็ยัง “เอาไม่อยู่” โอกาสที่จะก้าวสู่ “ฤดูกาลแห่งการป่วยและการตาย” อย่างที่ผู้นำประเทศ “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ท่านปรารภ รำพึง เอาไว้ก่อนล่วงหน้า ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ถึงขั้นแม้แต่สำนักข่าวชื่อดังอย่าง “CNN” ยังต้องตัดสินใจ “ปิดสำนักงาน” ทั่วทั้งอเมริกาไปแล้วในทุกวันนี้ หันไปเวิร์ค ฟอร์ม โฮม กันแทนที่ ส่วนใครที่ยังคิดจะเข้าออฟฟิศ หนีไม่พ้นต้องหัดสวมหน้ากาก 2 ชั้น 3 ชั้น กันไปตามสภาพ ยิ่งถ้าหากเป็นข้าราชการหรือเป็นทหารอเมริกันยิ่งแล้วใหญ่ เรียกว่า...ถ้าใครไม่คิดจะฉีดวัคซีนเข็มหนึ่ง เข็มสอง เข็มสาม มีสิทธิ์ถูกไล่ออก ปลดออก เอาเลยถึงขั้นนั้น...ฯลฯ ฯลฯ...
และที่คงต้องหันมาจับตาอย่างชนิดมิอาจกะพริบตาเป็นอันขาด!!!...ก็คือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสกลายพันธุ์ตัวนี้ ไม่เพียงแต่สามารถเล่นงานบรรดาประเทศ “ประชาธิปไตย” ทั้งหลาย ชนิดม่อยกะรอกกันไปเป็นแถบๆ แต่กำลังคิดเจาะช่อง เจาะกำแพง กำลังพยายามชำแรกแทรกซึมผ่านผนังทองแดง-กำแพงเหล็กของประเทศ “เผด็จการ” อย่างคุณพี่จีน ที่พร้อมคุมเข้มต่อการแพร่ระบาดในรูปแบบต่างๆ ในระดับ “โควิดต้องเป็นศูนย์” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรืออย่างที่ข้อเขียน บทความ ของ “นายJeff Pao” เรื่อง “Omicron knocking on China’s zero Covid door” ที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮาเพิ่งนำมาแปลและเรียบเรียงเอาไว้ในชื่อว่า “โอมิครอนค่อยๆ แทรกตัวผ่านกำแพง...โควิดต้องเป็นศูนย์ของจีนและฮ่องกง” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นเอง เพราะการพบบรรดาผู้ติดเชื้อ “Omicron” ทั้งในฮ่องกงและในจีนอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแล้วนั้น จะนำไปสู่การ “คุมเข้ม” ไปอีกถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน ส่งผลต่อการปิดประเทศ เปิดประเทศ หรือต่อระบบเศรษฐกิจจีนที่อาจถือเป็น “เครื่องยนต์เศรษฐกิจ” รายเดียวเท่าที่ยังเหลืออยู่ ไปในลักษณะใด แบบใด อันนี้...คงต้องจับตาเอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ...
คือพูดง่ายๆ ว่า...ระหว่างการ “ป่วยตาย” กับ “อดตาย” นั้น มันออกจะมี “ปฏิสัมพันธ์” กันและกัน อย่างชนิดมิอาจแยกออกจากกันได้เลย คือถ้าหากไม่อยาก “ป่วยตาย” ก็อาจต้องหันมา “คุมเข้ม” ชนิดอาจมีสิทธิ์ “อดตาย” เอาง่ายๆ แต่ครั้นไม่อยาก “อดตาย” เมื่อดันต้องเจอกับการแพร่เร็ว ระบาดเร็ว ของไวรัส “Omicron” เข้าไปอีกระลอก ชนิดถึงแม้ไม่ตายแต่อาจต้อง “คางเหลือง” ได้ไม่ยากส์ส์ส์ หรืออาจถึงขั้น “ระบบสาธารณสุขล่มสลาย” ไปเป็นประเทศๆ อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้แต่ละรัฐบาล แต่ละประเทศ แทบหา “จุดสมดุล” แทบไม่เจอ หรืออย่างที่ธนาคาร “ECB” (European Central Bank) เขาเพิ่งออกมาป่าวประกาศไปเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ด้วยเหตุเพราะการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัส “Omicron” และปัญหาจากธุรกิจ “Supply Chain” กำลังส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อของประเทศในยุโรปที่เคยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1.7-1.8 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นเป็น 3.2 เปอร์เซ็นต์ อันจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศยุโรปทั้งมวล...โตช้า หรือลดการเติบโต ในปีหน้า ปีโน้น อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ ไม่ต่างไปจากระบบเศรษฐกิจอเมริกาที่ใกล้ “ฟองสบู่แตก” ยิ่งเข้าไปทุกที เหลือแต่เพียงระบบเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยมเผด็จการ” ของคุณพี่จีนเท่านั้น ที่ยังพอเป็นที่หวัง ที่คาด ว่าจะ “เหลือรอด” จากชำแรกแทรกซึม ของท่านเชื้อไวรัส “Omicron” ไปได้ถึงขั้นไหน???