อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย พร้อมใจรายงานยอดผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 รายใหม่ในรอบวันทุบสถิติ โดยเฉพาะอเมริกาที่พบเคสใหม่ทะลุ 1 ล้านคนเป็นครั้งแรก ขณะเดียวกัน WHO เตือนการระบาดอย่างรวดเร็วและง่ายดายของ “โอมิครอน” เพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดตัวกลายพันธุ์ใหม่ที่อาจอันตรายยิ่งขึ้น
อังกฤษรายงานเมื่อวันอังคาร (4 ม.ค.) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในรอบ 24 ชั่วโมงทะลุ 200,000 คนครั้งแรก ด้านออสเตรเลียก็สร้างสถิติใหม่ของประเทศอยู่ที่เกือบ 50,000 คน ส่วนฝรั่งเศสอยู่ที่กว่า 270,000 ราย
อย่างไรก็ตาม สถิติของ 3 ประเทศนี้ถือว่า เล็กน้อยไปถนัดใจเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่รอบ 24 ชั่วโมงในอเมริกาเมื่อวันจันทร์ (3) ที่สูงถึง 1,080,211 คน และถือเป็นสถิติสูงสุดของโลก
จำนวนผู้ติดเชื้อที่รายงานกันที่อเมริกาในวันจันทร์มักสูงกว่าปกติ เนื่องจากมีความล่าช้าในการนับในช่วงสุดสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุดสัปดาห์ที่ผ่านมายังเป็นเทศกาลปีใหม่ที่ยาวนาน 3 วัน
สำหรับยอดเฉลี่ยในรอบ 7 วันจนถึงค่ำวันจันทร์ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่า น่าเชื่อถือมากกว่านั้น เคสผู้ติดเชื้อในสหรัฐฯ อยู่ที่เฉลี่ยวันละ 486,000 คน ทั้งนี้ จากข้อมูลของมหาวิทยาลัยจอห์นส์ ฮอปกินส์
ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดง่ายที่สุดในขณะนี้ คิดเป็นองค์ประกอบราว 59% ของจำนวนผู้ติดเชื้อทั้งหมดในอเมริกาในช่วงก่อนสิ้นปีที่ผ่านมา
แม้อัตราการเสียชีวิตและป่วยหนักจากโอมิครอนต่ำกว่าตัวกลายพันธุ์สายพันธุ์อื่นๆ ทำให้ทั่วโลกเกิดความหวังว่า โควิด-19 กำลังจะกลายเป็นโรคตามฤดูกาลที่อาการไม่รุนแรง ทว่า แคเธอรีน สมอลล์วูด เจ้าหน้าที่อาวุโสแผนกสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขขององค์การอนามัยโลก (WHO) เตือนเมื่อวันอังคารว่า ยิ่งโอมิครอนระบาดมากขึ้นเท่าไร ยิ่งมีแนวโน้มมากขึ้นว่าจะเกิดไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะอันตรายแค่ไหน
สมอลล์วูด เสริมว่า แม้แต่ระบบสาธารณสุขที่มีความสามารถรองรับผู้ป่วยสูงยังประสบปัญหาจากการระบาดรุนแรงของโอมิครอนในขณะนี้
ทั้งนี้ สถานการณ์ดังที่กล่าวนี้ทำท่าจะเกิดขึ้นแล้วในอังกฤษ หลังจากรัฐบาลประกาศเมื่อวันอังคารว่า โรงพยาบาลต่างๆ เข้าสู่ “ภาวะยามสงคราม” เนื่องจากขาดแคลนบุคลากร เมื่อบุคลากรทางการแพทย์และเจ้าหน้าที่ด่านหน้า เช่น พนักงานประจำรถพยาบาล ต้องขาดหายไปเป็นจำนวนมาก เพราะติดเชื้อหรือต้องกักตัว
หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อของอังกฤษในรอบ 24 ชั่วโมงพุ่งทำสถิติที่ 218,724 คน นายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ให้สัญญาว่า จะแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรด่านหน้าในพื้นที่ที่มีการระบาดมากที่สุด รวมถึงระดมอาสาสมัครทางการแพทย์ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากกองทัพ
จอห์นสันยังปกป้องการตัดสินใจของเขาที่ไม่เพิ่มการใช้มาตรการจำกัดเข้มงวดในช่วงคริสต์มาส อีกทั้งยืนยันว่า จะไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศ
ด้านออสเตรเลีย ที่ก่อนหน้านี้เคยควบคุมการระบาดสำเร็จมาหลายครั้ง มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อสูงสุดทำสถิติใหม่ที่ 47,738 คน และสถานการณ์นี้ส่งผลให้ชุดตรวจโควิดด้วยตัวเองแบบเร่งด่วนด้วยวิธีตรวจหาแอนติเจนของเชื้อก่อโรคยิ่งขาดตลาด จนมีคนมากมายไปต่อคิวรอตรวจที่ศูนย์ตรวจของทางการยาวเหยียด
ส่วนที่ไซปรัส รายงานยอดผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์เช่นกันที่ 5,457 คนเมื่อวันอังคาร และกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการติดเชื้อต่อหัวสูงที่สุดในโลกในเวลานี้
ขณะเดียวกัน ประเทศร่ำรวยหลายแห่งกำลังเร่งฉีดวัคซีนกระตุ้นให้ประชาชนเพื่อสกัดการระบาดของโอมิครอน ถึงแม้ประชากรมากมายในประเทศยากจนยังไม่ได้ฉีดวัคซีนแม้แต่เข็มเดียว
ที่อิสราเอล นายกรัฐมนตรีนาฟตาลี เบนเน็ตต์ เปิดเผยเมื่อวันอังคารโดยอ้างอิงผลทดสอบขนาดเล็กในประเทศที่บ่งชี้ว่า หลังฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 หนึ่งสัปดาห์ ภูมิต้านทานโควิดพุ่งขึ้น 5 เท่าตัว
ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นชาติหนึ่งที่มีความล้ำหน้าในการเร่งรัดโครงการฉีดวัคซีน โดยเริ่มฉีดวัคซีนเข็มที่ 4 ให้ประชาชนอายุ 60 ปีขึ้นไป บุคลากรทางการแพทย์ และผู้ป่วยที่มีระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
(ที่มา : เอเอฟพี, รอยเตอร์, เอพี)