แม้จะ “ย่างเข้าเขตหน้าหนาว-ลมหนาวก็โชยพัดกระหน่ำ” ณ ซีกโลกต่างๆ กันไปในแบบไหน ลักษณะไหน ก็ตาม แต่เปิดฉากสัปดาห์นี้...โดยสีสันบรรยากาศ คงต้องเรียกว่า ออกจะเป็นอะไรที่ร้อนฉ่า ร้อนแรง ชนิดแทบตับแลบ ม้ามแลบ ไปทั่วทุก “แนวรบ” ของพื้นที่แต่ละพื้นที่ ไม่ว่าจะ “แนวรบยุโรปตะวันออก” “แนวรบตะวันออกกลาง” ไปจนถึง “แนวรบทะเลจีนใต้” เอาเลยก็ว่าได้!!!
สำหรับ “แนวรบยุโรปตะวันออก” นั้น...อย่างที่พอทราบๆ กันไปแล้วว่า กำลังทหารรัสเซียประมาณ 94,000-140,000 นายได้ออกมาตรึงอยู่บริเวณพรมแดน “รัสเซีย-ยูเครน” ในช่วงระหว่างนี้ จนทำให้ไม่ว่าผู้นำยูเครน ผู้นำประเทศตะวันตกและอเมริกา ต่างเชื่อๆ กันไปว่ากองทัพหมีขาว คิดเตรียม “บุกยูเครน”ภายในไม่เกินสิ้นเดือนมกราคมปีหน้า ตามการคาดคะเน การปูดข่าว ออกข่าว ของรัฐมนตรีกลาโหมยูเครน โดยมีสื่อมวลชนกระแสหลักของตะวันตก คอยโหมฟืน โหมไฟ ในเรื่องราวเหล่านี้ อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ไม่ว่าฝ่ายรัสเซียจะปฏิเสธแล้ว ปฏิเสธอีก กันไปในลักษณะไหนก็ตาม...
อีกทั้งการพบปะเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ เจรจากันประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”กับผู้นำอเมริกา “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา”ในหัวข้อ ในกรณีดังกล่าว ก็แทบไม่ได้ช่วยให้เกิดการลดบรรยากาศความตึงเครียด หรือการเผชิญหน้าในเรื่องนี้ลงไปแต่อย่างใด ถ้าฟังจากน้ำเสียงของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศอเมริกา “นายNed Price”เมื่อช่วงวันจันทร์ (6 ธ.ค.) ที่แล้ว การขยายบทบาท อิทธิพล ของอเมริกาและองค์กรความร่วมมือทางทหารอย่าง “NATO” กินลึกเข้าไปถึงปากประตูหน้าบ้านของหมีขาวรัสเซียนั้น ถือเป็นการ “เปิดกว้างทางนโยบาย” (open door policy) ที่บรรดาประเทศในยุโรปตะวันออก จะเลือกยืนอยู่ข้างรัสเซีย หรือหันไปจูบปากอเมริกา ย่อมถือเป็นสิทธิอัตวินิจฉัยของประเทศนั้นๆ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการคิดจะ “ละเมิดเส้นตาย” ของรัสเซียเอาเลยแม้แต่น้อย...
แต่ก็นั่นแหละ...อย่างที่รองรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov”ได้ออกมาเปรียบเทียบ อุปมา-อุปไมย ถึงกรณี “วิกฤตยูเครน”ว่าอาจไม่ต่างอะไรไปจากกรณี “วิกฤตจรวดคิวบา”เมื่อหลายสิบปีที่แล้วนั่นเอง หรือในขณะที่ประเทศปากประตูหน้าบ้านของอเมริกา อย่างคิวบา ในยุคอดีตประธานาธิบดี “ฟิเดล คาสโตร”หันไปจูบปากกับอดีตโซเวียตรัสเซียยอมให้รัสเซียเข้ามาติดตั้งขีปนาวุธในดินแดนตัวเอง อเมริกาในยุคอดีตประธานาธิบดี “เคนเนดี” ก็ไม่คิดจะโอเพ่นเดอะดอร์อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย เกิดความตึงเครียดและการเผชิญหน้า ระหว่างอเมริกากับโซเวียตรัสเซีย ชนิดหวิดๆ บานปลายกลายเป็นการจุดชนวน “สงครามโลกครั้งที่ 3” เอาเลยถึงขั้นนั้น ดังนั้น...การปล่อยให้ประเทศปากประตูหน้าบ้านของรัสเซียอย่างยูเครน คิดสมัครเข้าเป็นสมาชิกขององค์กรความร่วมมือทางทหารอย่าง “NATO” โดยการผลัก การดันของคุณพ่ออเมริกา ชนิดสามารถส่งกำลังทหารอเมริกาและตะวันตก รวมทั้งการติดตั้งขีปนาวุธเอาไว้ใต้จมูกของรัสเซีย จึงไม่ต่างอะไรไปจากการ “ก่ออาชญากรรม” ต่อประเทศรัสเซีย ดังที่ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”ท่านให้คำนิยามเอาไว้ระหว่างการแถลงข่าวร่วมกับนายกรัฐมนตรีกรีซ เมื่อวันพุธ (8 ธ.ค.) ที่ผ่านมานั่นเอง...
การเผชิญหน้าและความตึงเครียดในแนวรบด้านนี้ จึงไม่เพียงแต่ไม่ได้ลดราวาศอกลงไปเลยแม้แต่น้อย ช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา กองทัพเรือยูเครนยังหันไปเล่นบทเป็นดาวร้ายหนังไทย ด้วยการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน”หมีขาวรัสเซีย โดยส่งเรือรบชื่อว่า “Donbass”เข้าไปแล่นฉวัดเฉวียนไป-มา ในเขตช่องแคบ “Kerch-Yenikalsky” ที่สามารถทะลุออกทะเลดำและทะเลอาซอฟ อันถือเป็นน่านน้ำของรัสเซีย โดยไม่คิดจะแจ้งล่วงหน้าแต่ประการใด แบบเดียวกับไต้หวันที่พยายามยั่วยวนกวนส้นตีนพญามังกรจีนอยู่ในทุกวันนี้ อะไรประมาณนั้น ความร้อนแรง ร้อนฉ่า ของแนวรบด้านนี้...จึงเล่นเอาแต่ละฝ่ายแทบตับแลบ ม้ามแลบ ไปตามๆ กัน...
ไม่ต่างไปจาก “แนวรบในตะวันออกกลาง” นั่นแหละ...แม้ว่าผลแห่งการเจรจารอบที่ 7 ระหว่างอิหร่านกับคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งประเทศที่อยู่ร่วมในข้อตกลง “JCPOA” อย่างอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมนี จีน และรัสเซีย ณ กรุงเวียนนา ในเรื่องการหวนกลับมาสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์อิหร่านของอเมริกา จะยังไม่ได้สรุปออกมาเป็นที่ชัดเจน แต่การเดินทางไปเยือนอเมริกาของรัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล “พลเอกBenny Gantz” โดยได้พบปะกับรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา “พลเอกLloyd Austin”รวมทั้งที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว “นายJake Sullivan” ก็ได้ก่อให้เกิดความร้อน ชนิดใกล้ๆ “ไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมามั่งแล้ว นั่นก็คือการคิดที่จะเริ่มปฏิบัติการ “ซ้อมรบร่วม” ระหว่างกองทัพอิสราเอลและอเมริกา หรือการเตรียมพร้อมทางทหารขั้นสูงสุดระหว่างประเทศทั้งสอง เพื่อเอาไว้รองรับฉากสถานการณ์ประเภท “worst-case scenario” หรือฉากสถานการณ์ที่ความพยายามหาทางออก “ทางการทูต” ระหว่างอเมริกากับอิหร่านเกิดความล้มเหลวขึ้นมาเมื่อไหร่ การซ้อมรบระหว่างอเมริกากับอิสราเอลย่อมหมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะจัดการเล่นงานอิหร่านด้วยกรรมวิธี “ทางทหาร”นั่นเอง!!!รวมทั้งยังมีการออกข่าว ปล่อยข่าว ว่ากองทัพอเมริกันกำลังคิดจะส่งมอบอาวุธที่เรียกกันว่า “Bunker-Busting Massive Ordnance Penetrator” หรืออาวุธที่เอาไว้เจาะทะลวง ทำลาย โรงงานปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของอิหร่านกันโดยเฉพาะ ให้กับกองทัพอิสราเอล ตามข้อเสนอของ “นายDennis Ross” อดีตผู้เชี่ยวชาญสถานการณ์ด้านตะวันออกกลางของอเมริกา เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ก็เล่นเอาตับแลบ ม้ามแลบ ไปในอีกแนวรบด้านหนึ่ง...
ส่วน “แนวรบในทะเลจีนใต้”นั้น...ล่าสุดตามข่าวล่า-มาเรือ ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหมประจำภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของอเมริกา “นายEly Ratner” ก็เข้าให้การกับคณะกรรมาธิการต่างประเทศวุฒิสภา เมื่อช่วงวันพุธ (8 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยการป่าวประกาศเอาไว้ว่า ภารกิจในการปกป้องไต้หวันจากการบุกด้วยกำลังทหารของพญามังกรจีนนั้น ถือเป็นภาระเร่งด่วน ระดับ “an absolute priority” สำหรับกองทัพอเมริกาเอาเลยถึงขั้นนั้น ขณะที่เครื่องบินรบของจีนก็ยังคงบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือเกาะไต้หวัน อย่างไม่คิดจะลดราวาศอกกับคำขู่ หรือกับรายการยั่วยวนกวนส้นตีน ของคุณพ่ออเมริกาและไต้หวันเอาเลยแม้แต่น้อย...
ความร้อนแรง ร้อนฉ่า ร้อนชนิดตับแลบ ม้ามแลบ ของ “แนวรบทั้ง 3” ที่อุบัติขึ้นมาพร้อมๆ กัน ในช่วงระหว่างนี้ เลยหนีไม่พ้นต้องถูกนำไปเกี่ยวโยง เกี่ยวพัน กับสถานการณ์การเมืองภายในของประเทศอเมริกาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือดังที่คอลัมนิสต์สำนักข่าว “Sputnik” อย่าง “Ekaterina Blinova” เธอพยายามชี้ให้เห็นว่า ด้วยความเสื่อมโทรม ตกต่ำ และด้วยแรงกดดันต่างๆ นานา ของสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจในประเทศอเมริกา ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ความเลอะเทอะในการถอนทหารอเมริกันออกจากอัฟกานิสถาน การเจอกับปัญหาเงินเฟ้อ ปัญหาหนี้สิน ปัญหาความแตกแยกภายในสังคม ฯลฯ และอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะแยะมากมาย ที่ทำให้ “คะแนนนิยม” ของผู้นำอเมริกา อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ออกอาการ “รูดมหาราช” หรือจากที่เคยมีคะแนนนิยมอยู่ประมาณ 52 เปอร์เซ็นต์ ตกจากหอคอย่นเหลือเพียงแค่ 39 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันนี้นี่เอง...ที่น่าจะเป็นสาเหตุหลักๆ ในการเพิ่มความร้อนแรงให้กับแนวรบในแต่ละด้าน...
หรืออย่างที่นักคิด นักวิเคราะห์ชาวอเมริกันเอง ได้เคยชี้ให้เห็นมานานแล้วนั่นแหละว่า...ด้วยเหตุเพราะ “ศัตรูที่แท้จริงของจักรวรรดินิยมยุคใหม่อย่างอเมริกานั้น ก็คือตัวตนของสหรัฐอเมริกานั่นเอง หรือคือระบบการเมือง-เศรษฐกิจแบบจักรวรรดินิยม ที่นอกจากจะเป็นตัวการสำคัญในการนำมาซึ่งภัยคุกคามต่อประเทศอเมริกาและต่อประชาชนอเมริกันโดยตรงแล้ว ยังอาจกลายเป็นตัวจุดชนวน...อภิมหาสงครามโลกครั้งที่ 3 ภายในช่วงระยะอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้...” จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ ก็ลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน...