ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชา Business analytics and intelligence
สาขาวิชาวิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
Huawei ก็ตัดสินใจย้ายฐานจาก Canada มาไทยแล้ว แบบส้มหล่น เหตุเพราะลูกสาวผู้ก่อตั้ง Huawei ชื่อ ‘เมิ่งหว่านโจว’ ถูกจับด้วยการยัดเยียดคดีโดนขังคุกในเมืองแวนคูเวอร์ที่แคนาดากว่า 3 ปี เมื่อปล่อยตัว เมิ่งหว่านโจว กลับจีน สู่บ้านเกิดที่เสิ่นเจิ้น เยี่ยงวีรสตรี Huawei ตัดสินใจถอนฐานกำลังในแคนาดาออกทั้งหมด เลิกจ้างพนักงานชาวแคนาดากว่าสี่พันห้าร้อยคน แล้วส้มก็หล่นมาที่ไทย Huawei ตัดสินใจลงทุนในไทยประมาณ 4-5 พันล้านบาท ตั้งใจให้เป็นฐานของ Smartphone แบบ 5G มาทั้ง cloud computing, data center และอื่น ๆ อีกมากมาย
Xiaomi ก็ตัดสินใจจะย้ายสำนักงานใหญ่ในอาเซียนที่เดิมเคยอยู่อินโดนีเซียมาไทยเช่นกัน โดยให้เหตุผลว่าไทยมีคนใช้อินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนสูงมาก อีกทั้งการทำธุรกรรมทางการเงินอิเล็กทรอนิกส์ของไทยก็ดีมาก ถือว่าดีกว่าหลาย ๆ ประเทศในอาเซียน (ซึ่งในความเห็นของผมมาจากการที่กระทรวงการคลังผลักดัน prompt pay, คนละครึ่ง เป๋าตังค์ อีวอลเล็ท อีกสารพัดรูปแบบ พ่อค้าแม่ค้าใช้ applications พวกนี้กันเก่งมากครับ)
ที่น่าคิดคือเจ้าพ่อโทรศัพท์มือถือ Smartphone ของโลกด้าน 5G อย่าง Huawei จะมาไทย จะให้ไทยเป็นฐานของเทคโนโลยี 5G และเจ้าพ่อ internet of things อย่าง Xiaomi ที่ผลิตอุปกรณ์ไฟฟ้าสารพัดชนิดที่เชื่อมต่อด้วยอินเทอร์เน็ตแห่งสรรพสิ่ง อีกทั้งก็เป็นผู้ผลิต Smartphone รายใหญ่ อันดับต้น ๆ ของโลกด้วย จะมาไทย
ผมนี่จินตนาการไปเลยว่าทั้งห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ของอุตสาหกรรมด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็นดาวเทียม โทรคมนาคม ไปจนถึง hardware เช่นการผลิตอุปกรณ์โทรศัพท์สมาร์ทโฟน และ digital content ก็ควรจะได้รับการพัฒนาไปพร้อม ๆ กันในประเทศไทย ทำอย่างไรให้เกิดการเติบโตไปทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทำอย่างไรให้ประเทศไทยเราได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ได้มากที่สุดเพื่อให้เราพึ่งพาตนเองได้ในอนาคต ทำอย่างไรให้เกิดการเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมในประเทศไทย ให้เราก้าวทันกับการระเบิดดิจิทัล (Digital disruption) แล้วนำพาเศรษฐกิจไทยก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลาง (Middle income trap) ได้เสียที ผมมองเห็นโอกาสและสิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงดีอีเอสต้องเร่งลงมือทำมากมายครับ เพื่ออนาคตอันสดใสของชาติไทยเรา
แต่น่าแสนเสียดายยิ่งที่ NT ของไทย บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ ยังง่อย ๆ แค่รับมอบดาวเทียมไอพีสตาร์ กับไทยคม 6 ที่เพิ่งหมดสัญญาสัมปทานกับ บมจ.ไทยคม มาบริหารยังทำเองไม่ได้เลย ซ้ำร้ายรัฐมนตรียังมีถ้อยแถลงกลางรัฐสภาที่ไม่รักษาผลประโยชน์ของชาติ โดยกล่าวว่า Gateway, uplink, และ downlink เป็นของไทยคมไม่ต้องส่งมอบ และให้ไปเช่าเอาจากไทยคม
เฮ้อ! ผมคงต้องถอนหายใจยาวที่สุด เหนื่อยหน่ายใจ Nobody owns, nobody cares เสียจริงกับการลงทุนของรัฐและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจของไทย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ รัฐเป็นเจ้าของไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครใส่ใจ
ถ้าหากผมเป็นผู้บริหาร NT ผมวิ่งไปเดินสายขอพบผู้บริหารกิจการดาวเทียมของพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อหาทางมาร่วมทุนดาวเทียมของ NT ไปแล้ว อย่างน้อยก็มีลูกค้าชัวร์ ๆ คือ Huawei กับ Xiaomi ของจีนด้วยกัน เขาก็อยากใช้ดาวเทียมจีนร่วมทุนกับไทย Data center ของ Huawei ยังไงก็ต้องใช้ดาวเทียมอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์อย่างแน่นอน ไม่เช่นนั้น Data จะไหลมาได้อย่างไร ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะมีสายไฟเบอร์ออปติกส์เดินเคเบิลใยแก้วไปทั่วทุกหัวระแหงก็หาไม่ ทุกวันนี้สาขาของธนาคารพาณิชย์ในต่างอำเภอต่างจังหวัดยังใช้ดาวเทียมส่งข้อมูลของ core banking ในการทำธุรกรรมทางการเงินกันอยู่เลยครับ เป็นร้อยแห่งที่ยังต้องใช้
แล้วตอนนี้จีนเป็นเจ้าพ่อเทคโนโลยี 5G และ 6G รวมไปถึงปัญญาประดิษฐ์ (Artificial intelligence)ระดับโลกแซงหน้าสหรัฐอเมริกาไปแล้ว จะช้าอยู่ใย การตีพิมพ์เปเปอร์ด้านปัญญาประดิษฐ์ของจีนมีมากกว่าสหรัฐอเมริกา นักวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ของจีนมีมากกว่าเพราะการศึกษาด้านสเต็ม (Sciences, Technology, Engineering, and Mathematics) ของจีนทำได้ดีกว่าอเมริกามาก นักเรียนจีนนิยมเรียนด้านสเต็มมากกว่าอเมริกามาก กระทั่งในสหรัฐอเมริกาเอง นักเรียนปริญญาด้านสเต็มทั้งหลาย เต็มไปด้วยนักเรียนจีนมากกว่าครึ่งหนึ่งหรืออาจจะถึงสามในสี่ ในขณะที่นักเรียนสหรัฐอเมริกาเองกลับไม่นิยมเรียนด้านสเต็มหรือมีความสามารถและความสนใจน้อยกว่านักเรียนจีนมาก สมองไหลกลับ (Reverse brain drain) ด้านปัญญาประดิษฐ์ จาก Google และอื่น ๆ ในซิลิกอนวัลเลย์ของสหรัฐอเมริกากลับไปจีนไม่ว่าจะ Baidu หรืออื่น ๆ มีมากเหลือเกิน
ผมไม่เคยอยากมีอำนาจทางการเมืองอะไรเลย แต่ผมมั่นใจว่าถ้าผมเป็นรัฐมนตรีดีอีเอส ผมจะรักษาผลประโยชน์ของชาติได้ดีกว่านี้ และจะพาอุตสาหกรรมพวกนี้ของไทยไปในอนาคตข้างหน้าได้อย่างสดใส
หมูวิ่งมาชนปังตอขนาดนี้ โอกาสวิ่งเข้ามาจู่โจมขนาดนี้ ไม่คิดทำอะไรที่จะเป็นประโยชน์ของชาติบ้างเลยหรือไร
ต้องไปรีบออกกฎหมายเรื่อง Transfer of technology กันจริงจัง ทำอย่างไรให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีภาคบังคับ (Mandatory Transfer of Technology) เช่น จะได้รับการส่งเสริมการลงทุนหรืออยู่ในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ไทยและผู้ประกอบการไทย เป็นการแลกเปลี่ยน ตัวอย่างการถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เราได้มาอย่างโชคดีที่สุดคือ Viral vector vaccine จากโควิด-19 นี่แหละครับ Siam Bioscience แม้จะรับจ้างผลิต แต่ทำได้ทุกอย่างเองจาก scratch ถือว่ามีคุณค่ากับประเทศต่อไปในภายภาคหน้าเป็นอย่างมาก มีมูลค่าสูงหลายหมื่นล้านบาท
เราต้องไปแก้กฎหมายเรื่องอวกาศให้ชัดเจน เรื่องดาวเทียมวงโคจรต่ำ (LEO: Low Earth Orbit) ที่ยังไม่ชัดเจนเลยว่าใครจะเป็นผู้กำกับดูแล (Regulator) เรื่องดาวเทียมค้างฟ้า (GEO) ที่การเปิดประมูลมีความไม่โปร่งใส หน่วยงานที่กำกับดูแลมีแนวโน้มจะเกื้อหนุนให้กลุ่มทุนผูกขาดจนน่าสงสัยและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง
เราต้องไปแก้ไข พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ให้ทันสมัย เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตบนโลกออนไลน์ ทำให้เราเก็บภาษีจากกิจการออนไลน์และพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้เลย ซ้ำร้ายศาลไทยยังไม่สามารถสั่งบังคับคดีกิจการเหล่านี้ในประเทศไทยได้เลย เพราะอยู่นอกอำนาจศาลไทย และไม่ได้รับรู้รายได้ในประเทศไทย ในขณะที่อินโดนีเซีย คุมได้อยู่หมัด เพราะต้องสอดคล้องกับหลักกฎหมายอิสลาม เป็นต้น
และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่กระทรวงดีอีเอสต้องรีบดำเนินการเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติ
แต่ผลประโยชน์มันเยอะจริง ๆ นายทุนไทยก็ร้ายใช่ย่อย มีอิทธิพลทางการเมืองมากมาย
กระทรวงดีอีเอสนี่ คนของทักษิณ คุมมาตลอดจริง ๆ ครับ ตอนนี้ก็กลายเป็นกระทรวงกลางอ่าว เล่าลือกันให้แซดว่านายทุนกลางอ่าวคุมกระทรวงนี้ จริงเท็จวิญญูชนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ของชาติเป็นหลักสำคัญก็ลองพิจารณาเสาะหาข้อเท็จจริงกันดูเอาเถิดครับ กระพริบตาไม่ได้เลย
ปล. ผมไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จะต้องบินไปดูไบหรอกครับ บ้านเกิดเมืองนอนของผมอยู่ที่นี่ประเทศไทย เจ้านายของผมคือผลประโยชน์ของชาติและประชาชนที่ผมต้องรักษาปกป้องไว้สูงสุดครับ