xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา...ที่กำลังใกล้“เจ๊ง”เข้าไปทุกที!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



อย่างที่เกริ่นๆ ไว้แล้วเมื่อวันวาน...วันนี้คงต้องขออนุญาตแวะกลับไปสำรวจ ตรวจสอบ ลักษณะอาการประเทศมหาอำนาจสูงสุดในโลกอย่างคุณพ่ออเมริกากันอีกสักรอบ เพราะหลังๆ มานี้...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ออกจะเป็นอะไรที่ “หนักหนา-สาหัส” มิใช่น้อย ไม่ว่าจะในแง่การเมือง-เศรษฐกิจ-และสังคม ชนิดอาจไม่ใช่แค่ต้องหายใจทางปาก ทางเหงือก เผลอๆ อาจต้องต่อท่อออกซิเจนกันเป็นท่อๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!

คือถ้าดูจากบรรดาตัวเลข สถิติ ที่ถือเป็นดัชนีชี้วัดในแวดวงต่างๆ และถูกนำมาเปิดเผยกันไปเป็นระยะๆ คงต้องยอมรับว่าต่างออกอาการ “รูดมหาราช” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จาก “The Conference Board’s Consumer Confidence Index” ที่ถูกนำมาเปิดเผยเมื่อช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บรรดาความเชื่อในการประกอบการและการจ้างงานของบริษัทต่างๆ ในสหรัฐฯ ที่เคยอยู่ที่ประมาณ 145.5 จุด ลดวูบเดียวลงมาเหลือแค่ 142.5 จุด ความเชื่อมั่นในความมั่นคง แข็งแกร่ง ของเศรษฐกิจระยะสั้น จากที่เคยอยู่ที่ 89 จุด หดลงมาเหลือแค่ 87.6 จุดเท่านั้นเอง ทั้งนั้น-ทั้งนี้...เนื่องจากหลายสิ่ง หลายอย่าง ประกอบกัน หรืออย่างที่ผู้อำนวยการอาวุโสด้านการชี้วัดทางเศรษฐกิจ “นายLynn Franco” ออกมาสรุปเอาไว้คร่าวๆ นั่นแหละว่า มีทั้งความกลัวจากภาวะเงินเฟ้อ ไปจนถึงความกลัวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด ฯลฯ มันเลยส่งให้ความเชื่อ ความมั่นใจทางเศรษฐกิจ ออกอาการสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด...

เพราะภาวะเงินเฟ้อ ภาวะข้าว-ของแพงในอเมริกาช่วงนี้ ต้องเรียกว่า...จัดอยู่ในระดับ “Hyper-Inflation” ไปแล้วก็ว่าได้ คือแพงสูงสุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา และก็ไม่น่าจะแพงแค่ “ชั่วครั้ง-ชั่วคราว” หรือ “Transitory” แบบที่รัฐบาลหรือธนาคารกลางเคยพยายามออกมาปลอบอก-ปลอบใจเอาไว้ในแนวนี้ เพราะระหว่างการให้การกับวุฒิสภาเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ อย่าง “นายJerome Powell” ได้ออกมายอมรับอย่างหน้าชื่น-ตาบาน ว่าคงไม่อาจใช้คำว่า “ชั่วครั้ง-ชั่วคราว” หรือ “Transitory” ได้อีกต่อไปแล้ว โดยขออนุญาตเปลี่ยนไปใช้คำว่า “ช่วงระยะสั้นๆ” หรือ “Short-lived” กันแทนที่ นี่...ต้องเรียกว่าลื่นไถล ประมาณปลาไหลเผือกฉาบวาสลิน อะไรทำนองนั้น...

แต่ไม่ว่าจะเป็นช่วงระยะสั้นๆ หรือช่วงชั่วครั้ง-ชั่วคราว ด้วยบรรยากาศความเป็นไปทางเศรษฐกิจของคุณพ่ออเมริกาช่วงนี้ ทำให้ไม่ว่ารัฐมนตรีคลังและอดีตประธานธนาคารกลาง อย่าง “นางJanet Yellen” และ “นายJerome Powell” ต้องออกมาร่วมแถลงข่าว แก้ข่าว และแก้ตัว ชนิดแทบลิ้นพันกัน เช่นการชี้ให้เห็นข้อดีบางอย่างที่ไม่ถึงกับถือเป็นข้อเสียไปทั้งหมด ของภาวะเงินเฟ้อที่กำลังอุบัติขึ้นมา โดยไม่ใช่แต่เฉพาะในประเทศอเมริกาเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆ ซึ่งไม่ถูกระบุนามย่อมหนีไม่พ้นเช่นเดียวกัน แม้ว่าการแก้ข่าว แก้ตัวในลักษณะเช่นนี้คงไม่น่าจะช่วยให้อะไรดีขึ้นกี่มาก-น้อย ดังนั้น...เมื่อช่วงวันเสาร์ (4 ธ.ค.) ที่ผ่านมา บรรษัทวาณิชธนกิจรายสำคัญอย่าง “Goldman Sachs” เลยหนีไม่พ้นต้องมาฟันธง ฟันเฟิร์ม ไว้แบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของคุณพ่ออเมริกาในปีหน้า หรือปี ค.ศ. 2022 ที่เคยคาดว่าอยู่ที่ 4.2 เปอร์เซ็นต์ น่าจะเหี่ยว น่าจะหดลงมาเหลืออยู่แค่ประมาณ 3.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันเนื่องมาจากข่าวคราวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวใหม่อย่าง “Omicron” รวมทั้ง “องค์ประกอบอื่นๆ” ที่ยังไม่อาจหาความแน่นอน หาคำตอบที่ชัดเจน...

และที่ไม่ใช่แค่หด แค่เหี่ยว แต่อาจถึงขั้นขนหัวลุกเอาเลยก็ไม่แน่!!! ก็คือการออกมาเปิดเผยสถานะทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยกลุ่ม Think Tank หรือกลุ่มนักคิดที่ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด ไม่ว่าเดโมแครตหรือรีพับลิกันก็แล้วแต่ อย่าง “The Bipartisan Policy Center” เมื่อช่วงวันศุกร์ (3 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ถึงโอกาส “ความเป็นไปได้” ที่จะเกิดการ “ผิดนัดชำระหนี้” ของรัฐบาลอเมริกัน ไม่ว่าในช่วงวันที่ 21 ธันวาคม ค.ศ.2021 หรือช่วงวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2022 อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนในการผ่านกฎหมายจำกัดเพดานการเป็นหนี้ ที่ยังคงยืดเยื้อ คาราคาซัง อยู่ในรัฐสภา ยังไม่รู้หมู่ รู้จ่า และรู้สารวัตรได้อย่างถนัดชัดเจน อันจะส่งผลไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความเสียหมา เสียสุนัข ต่อรัฐบาลอเมริกันและเศรษฐกิจอเมริกาเท่านั้น แต่ยังน่าจะมีผลกระทบชนิดร้ายแรงและฉับพลัน-ทันที ต่อเศรษฐกิจของโลกทั้งโลก อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้เลย โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกทั้งโลกต่างต้องหาทางฟื้นตัวทางเศรษฐกิจให้เร็วๆ เข้าไว้ และต่างต้องเผชิญกับความผันผวนของการแพร่ระบาดจากเชื้อไวรัสตัวเก่า-ตัวใหม่ ที่ยังหาความแน่นอน หาจุดลงตัว ไม่ค่อยจะได้...

อีกทั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวใหม่ อย่าง “Omicron” นั้น ยิ่งเป็นอะไรที่น่ากลัวสำหรับประเทศอเมริกายิ่งขึ้นไปใหญ่หรือทำให้ “คะแนนนิยม” ของผู้นำประเทศ อย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” ที่ออกจะตกต่ำอยู่แล้ว อันเนื่องมาจาก “คำสัญญา” ว่า “ขอเวลาอีกไม่นาน...ฮึ้มฮึม ฮึ้มหึ่ม” อะไรทำนองนั้น ในช่วงรณรงค์เลือกตั้งประธานาธิบดี ว่าจะหาทางทำให้เชื้อไวรัสโควิดอยู่หมัดให้จงได้ แต่แค่เจอกับไวรัสตัวเก่าอย่างสายพันธุ์ “Delta” เข้าไปแค่ไม่กี่จึ๊กก์ก์ก์ ก็ชักออกอาการไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี อย่างเห็นได้ชัด หรือส่งผลให้อเมริกันชนตายโหง ตายห่า เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วกว่า 780,000 ราย ยังไม่คิดลา-สละ-ละทิ้งตำแหน่ง “แชมป์โรค” เอาง่ายๆ แต่เมื่อดันต้องมาเจอกับสายพันธุ์ตัวใหม่ อย่าง “Omicron” เข้าไปอีกดอก อันสามารถแพร่สะพัดไปยังรัฐต่างๆ ได้ชนิดรวดเร็วเอามากๆ อีกทั้งยังโผล่มามอบ “ของแถม” ให้ประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา ในช่วงเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศไปแล้วแบบเห็นๆ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ยิ่งกลายเป็นตัวฉุดกระชากลากถู ให้คะแนนนิยมของผู้นำรายนี้ ยิ่งหัวทิ่ม หัวตำ หัวทิ่มดิน หนักยิ่งขึ้นไปใหญ่ หนักหนา-สาหัสกว่าประธานาธิบดีรายใดๆ เท่าที่เคยมีมาในประวัติศาสตร์ ไม่ต่างไปจาก “รองประธานาธิบดี” ที่กำลังเจอปัญหา “ทีมงาน” ยกขบวนลาออกกันไปเป็นสายๆ จนก่อให้เกิดอาการรูดมหาราช หรืออาการ “ดูไม่จืด” ไปด้วยกันทั้งคู่...

ส่วนในแง่การเมือง...ยิ่งน่าขนพอง สยองขวัญ ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น อย่างที่อภิมหาเศรษฐีผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือกองทุน “Bridgewater Association” “นายRay Dalio” ได้ออกมาฟันธง ฟันเฟิร์ม ไว้ในหนังสือเล่มล่าสุด ซึ่งได้รับการเผยแพร่เมื่อช่วงวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าโอกาสที่ประเทศประชาธิปไตยผู้รับอาสาเป็นเจ้าภาพประชุม “Democracy Summit” อีกวัน-สองวันที่จะถึงนี้ อาจต้องเจอกับ “สงครามกลางเมือง” ครั้งใหม่ ภายในไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้ไม่น้อยกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป และด้วยความเป็นอภิมหาเศรษฐี คำพูด ทำนายทายทักในลักษณะเช่นนี้ ย่อมมี “น้ำหนัก” ซะยิ่งกว่า “หมอลักษณ์ ฟันธง” หรือ “หมอกฤษณ์ ฟันเฟิร์ม” ของบ้านเราอยู่แล้วแน่ๆ คือเพราะมีการอ้างอิงรายงานการศึกษา ผลสำรวจและงานวิจัยต่างๆ มาอ้างอิงเอาไว้เป็นกุรุสๆ และนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่ได้ถึงกับผิดแผกแตกต่างไปจากกันและกันแต่อย่างใด นั่นก็คือ...ด้วยความสุดขั้วและสุดโต่ง ที่กำลังเกิดขึ้นกับผู้ให้การสนับสนุนทางการเมืองในแต่ละฝ่าย ชนิดที่ทำให้ 15 เปอร์เซ็นต์ของผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันและ 20 เปอร์เซ็นต์ของพรรคเดโมแครต ต่างเชื่อว่าประเทศอเมริกาอาจดีขึ้นๆ ถ้าหาก “ฝ่ายตรงข้าม” กับตัวเอง มีอันต้องฉิบหายวายป่วง หรือตายโหง ตายห่า กันไปในรูปใด ลักษณะใดก็ตามที...

ภายใต้สภาพเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้การหาทางออก ทางไป หรือ “ทางรอด” สำหรับประเทศอเมริกา มันจึงแทบไม่เหลือหนทางใดๆ นอกเสียจากหนทางเดิมๆ นั่นก็คือ “สงคราม” นั่นแล!!! หรืออย่างที่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจ สังคม ชื่อดังอย่าง “นายGerald Celente” เจ้าของนิตยสาร “Trends Journal” และผู้เคยทำนายทายทักถึงการเจ๊งของตลาดหุ้นอเมริกาปี ค.ศ. 1987 และ 1991 รวมทั้งการล่มสลายของประเทศสหภาพโซเวียต แบบชนิดแม่นยำราวตาเห็น ได้เคยทำนายเอาไว้ก่อนล่วงหน้าเมื่อเกือบสิบปีที่แล้วนั่นแหละ ประมาณว่า... “ความพยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาด ล้มเหลวอย่างมหันต์ ด้วยการกระทำความผิดพลาดล้มเหลว อย่าง...อภิมหามหันต์นั่นเอง ย่อมทำให้เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างก้าวเข้าสู่ภาวะความผิดพลาด ล้มเหลว แบบโดยสิ้นเชิง...เมื่อนั้น รัฐบาลจะนำพาชาติทั้งชาติ เข้าสู่สงครามในท้ายที่สุดจนได้...”




กำลังโหลดความคิดเห็น