มาถึง ณ ขณะนี้...ก็คงต้องสรุปว่า ยังไม่ถึงกับรู้หมู่ รู้จ่า รู้สารวัตร ว่าท่านเชื้อไวรัสโควิดตัวใหม่ สายพันธุ์ใหม่ที่เรียกๆ กันในนาม “โอไมครอน” หรือ “โอมิครอน” (Omicron) ก็แล้วแต่ ที่สามารถเติมหนวด เติมหนาม (Spike Protein) ให้กับตัวเองถึง 30-40 หนาม ท่านจะร้ายกาจ ร้ายแรง ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน???
แต่ก็อาจ “ใจชื้น” ขึ้นมาได้มั่งนิดๆ...เมื่อระดับผู้เชี่ยวชาญที่ว่ากันว่าเป็นผู้ค้นพบ “ผู้ติดเชื้อ” โควิดสายพันธุ์นี้เป็นรายแรก คือประธานแพทยสภาแห่งแอฟริกาใต้ “ดร.Angelique Coetzee” ท่านออกมาบอกเล่า เก้าสิบ กับโทรทัศน์ “BBC” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (28 พ.ย.) ที่ผ่านมา ประมาณว่าไม่ถึงหนักหนา-สาหัสมากมายสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุเพราะอาการของคนไข้ หรือผู้ติดเชื้อ แค่ “เพลียมาก” ในช่วงแรก “ปวดศีรษะเล็กน้อย” ไม่ถึงกับไอ ไม่ถึงกับจาม แถมไม่สูญเสียการรับรส รับกลิ่น แบบที่เคยเจอในหมู่คนไข้ที่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ “เดลตา” แต่อย่างใด เรียกว่า...ไม่ต้องเสียเวลาแอดม้ง แอดมิด แค่ดูแลรักษาไม่กี่วัน กี่คืน ก็กลับบ้านได้แล้ว เช่นเดียวกับ “ดร.Barry Schoub” นักไวรัสวิทยาและหัวหน้าที่ปรึกษาคณะรัฐบาลแอฟริกาใต้ในเรื่องวัคซีนโควิด ที่ได้สรุปเอาไว้กับสำนักข่าว “Sky News” ในวันเดียวกัน ว่าโดยลักษณะอาการของผู้ติดเชื้อออกจะหีดๆ หุ้ยๆ จิ๊บๆ จ๊อยๆ หรือ “ไม่ถึงกับรุนแรงอะไรมาก” แม้ทั้งสองรายยอมรับว่าในแง่ของการแพร่ระบาดแล้ว ค่อนข้างแพร่ได้เร็วมาก คือจากตัวเลขผู้ติดเชื้อเดิมๆ ในแอฟริกาใต้ ตกประมาณวันละ 300 ราย แต่เมื่อต้องเจอกับการแพร่ระบาดของโควิดโอมิครอนเข้าไปแบบจะจะจังๆ ตัวเลขมันเลยพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมาเป็นระดับวันละ 3,200 ราย ภายในช่วง 10 วันเท่านั้นเอง...
แต่ยังไงๆ...คงต้องฟังหู-ไว้หูไว้ก่อนนั่นแหละทั่น!!! ตราบใดที่องค์กรหลัก องค์กรกลาง อย่าง “WHO” ท่านยังไม่ได้ออกมาฟันธง ฟันเฟิร์ม แบบชัดๆ ว่ามันจะร้ายกาจ ร้ายแรง ไปถึงขั้นไหน เพราะถ้าฟังแต่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญแค่ 2 ราย ไม่ว่าจะเป็น “ดร.Angelique Coetzee” หรือ “ดร.Barry Schoub” ก็แล้วแต่ ท่านทั้งสอง...ก็ล้วนแล้วแต่เป็นชาวแอฟริกาใต้ ที่กำลังเดือดเนื้อร้อนใจ ไม่ต่างไปจากผู้นำประเทศ อย่างประธานาธิบดี “Cyril Ramaphosa” นั่นแล เรียกว่า...ถึงขั้นต้องออกมาเรียกร้อง โอดครวญ ตัดพ้อและวิงวอนต่อบรรดาประเทศต่างๆ ที่ด่วนสรุป ด่วนตัดสินใจ ประกาศระงับเที่ยวบินต่างๆ ที่จะเดินทางมายังแอฟริกาใต้ รวมทั้งห้ามมิให้ชาวแอฟริกาใต้ รวมทั้งบ้านพี่-เมืองน้องในแถบนั้น มีโอกาสเดินทางเข้าประเทศตัวเองซะอีกด้วยต่างหาก ปาเข้าไปนับสิบๆ ประเทศไปแล้วในช่วงนี้ ไม่ว่าอิสราเอล ญี่ปุ่น อังกฤษ อเมริกา ฯลฯ ที่ท่านประธานาธิบดีท่านเห็นว่า เป็นการตัดสินใจโดยไม่ได้มี “พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์” รองรับ หรือเพราะความ “หูแหก-ตาแหก” ของแต่ละประเทศนั่นแหละเป็นหลัก อันถือเป็นสิ่งที่ไม่แฟร์ ไม่ยุติธรรม ต่อชาวแอฟริกาใต้เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในภาวะที่เศรษฐกิจแอฟริกาใต้ กำลังอยู่ในช่วงภาวะ “ตกสะเก็ด” อย่างหนัก ชนิดรายได้จากการท่องเที่ยวอันเป็นรายได้หลัก ไม่ต่างไปจากไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา หายวับไปกับตาถึง 10,000 ล้านดอลลาร์เมื่อช่วงปีที่แล้ว...
แต่ก็นั่นแหละ...เรื่องของความ “หูแหก-ตาแหก” แม้เป็นเพียงอารมณ์-ความรู้สึกชนิดหนึ่ง แต่ก็เป็นอะไรที่ไม่เข้าใคร-ออกใครหรือยากส์ส์ส์ที่จะไปห้ามไม่ให้ “แหก” เอาง่ายๆ ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ข่าวคราวว่าด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ มันเลยออกจะเป็นตัวสร้าง “ผลกระทบ” ที่น่าห่วง น่ากังวล น่าตกอก ตกใจ มิใช่น้อย อย่างที่ผู้อำนวยการบริหารของบริษัท “Moody’s Investors Service” คุณ “Elena Duggar” ไปจนถึงบริษัท “Fitch Ratings” ต้องออกมาชี้แจงแถลงไข ในช่วงวันเดียวกัน คือเมื่อช่วงวันจันทร์ (29 พ.ย.) ที่ผ่านมา ประมาณว่า...ข่าวคราวการมาถึง หรือการปรากฏตัวของเชื้อไวรัสโอมิครอนนั้น กำลังเป็นตัวสร้าง “ความเสี่ยง” ให้กับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งยังเป็นตัวเร่งให้ “ภาวะเงินเฟ้อ” เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ยิ่งไปอีก!!!
คือถ้าว่ากันตาม “เหตุผล” ที่ผู้อำนวยการฯ “Moody” ท่านได้ชี้แจงเอาไว้ ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่พอสมควร หรือด้วยเหตุเพราะ “ช่วงจังหวะ-เวลา” แห่งปรากฏตัวของท่านเชื้อไวรัสโอมิครอนนั้น มันดันมาทาบทับกับช่วงจังหวะที่โลกทั้งโลกกำลังมีปัญหาเรื่อง “Supply Chains” หรือความขาดแคลนวัตถุดิบ ชิ้นส่วนอุปกรณ์ ที่จะนำมาประกอบเป็นตัวสินค้าต่างๆ อยู่พอดิบ พอดี อีกทั้งยังเป็นตัวบั่นทอน “Demand” หรืออุปสงค์ในการเดินทางท่องเที่ยวช่วงวันหยุด หรือในช่วงฤดูกาลแห่งการใช้จ่ายที่กำลังจะมาถึง มันเลยไม่เพียงแต่เป็นตัวทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดโลก ตลาดแรงงาน และต่อภาวะเงินเฟ้อ ฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังอาจลุกลามกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “ปัญหาทางการเงิน” หรือตลาดเงิน ที่กำลังเต็มไปด้วยภาวะหนี้สิน และเต็มไปด้วยความต้องการที่จะ “กู้เพิ่ม” ของแต่ละประเทศไปด้วยกันทั้งสิ้น...
แม้ว่าบริษัทอย่าง “Fitch Ratings” จะให้ข้อสรุปเอาไว้ประมาณว่า ยังอาจ “เร็วไป” ที่จะนำเอาผลกระทบของการอุบัติขึ้นมาของเชื้อไวรัสโอมิครอน ไปรวมกับแนวโน้มอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จนกว่าจะมีข้อยุติอย่างเป็นที่ชัดเจน หรือจนกว่าจะรู้แน่ชัด ว่าท่านเชื้อโอมิครอนท่านจะร้ายกาจ ร้ายแรง ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน แต่ก็นั่นแหละ...กระทั่งประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ “FED” อย่าง “นายJerome Powell” ยังหนีไม่พ้นต้องยอมรับสารภาพ ระหว่างการให้การกับวุฒิสภาอเมริกา เมื่อช่วงวันอังคาร (30 พ.ย.) ที่ผ่านมา ตามข้อความที่ระบุไว้ในคำแถลงประมาณว่า... “การแพร่ระบาดที่เริ่มหวนกลับมาใหม่ของเชื้อไวรัสโควิด-19 และการอุบัติขึ้นมาของสายพันธุ์โอมิครอน ได้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงานและต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของเรา รวมทั้งเพิ่มความไม่แน่นอนของภาวะเงินเฟ้อ...”
แม้ว่าก่อนหน้านั้นไม่ว่าจะเป็น “FED” หรือรัฐบาลอเมริกันก็แล้วแต่ ต่างออกมาประสานเสียงว่าภาวะเงินเฟ้อ ราคาข้าวของที่แพงขึ้นๆ ในสหรัฐฯ นั้น เป็นแค่ภาวะ “ชั่วครั้ง-ชั่วคราว” แต่ด้วยเหตุเพราะได้จังหวะที่จะอาศัยไวรัสโอมิครอนเป็น “ข้ออ้าง” หรือไม่ อย่างไร ก็แล้วแต่ น้ำเสียงของประธาน “FED” คราวนี้ ดูจะเปลี่ยนไปกว่าแต่ก่อนอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้...แม้ว่าผู้นำประเทศอย่าง “ผู้เฒ่าโจ ซึมเซา” จะพยายามออกมาเตือนสติบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายในเรื่องไวรัสโอมิครอนประมาณว่า “ห่วงได้ กังวลได้-แต่อย่าแตกตื่น” อะไรทำนองนั้น แต่นั่นคงไม่ได้ช่วยให้ภาวะความเป็นไปทางเศรษฐกิจของประเทศมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับหนึ่งอย่างอเมริกา ดูดีขึ้นมาเอาเลยแม้แต่น้อย ทุกสิ่งทุกอย่างเอาแน่-เอานอนแทบไม่ได้ ตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสแรกอยู่ที่ 3.5 เปอร์เซ็นต์ ไตรมาสสองอยู่ที่ 3.6 เปอร์เซ็นต์ แต่พอมาถึงไตรมาสสาม ดันหล่นไปอยู่แค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง แถมภาวะข้าวของแพงขึ้นๆ หรือภาวะเงินเฟ้อ ยังอาจถูกซ้ำเติมด้วยความพยายามทุ่มเม็ดเงินงบประมาณระดับนับล้านล้านดอลลาร์ เพื่อ “Build Back Better” อเมริกา หรือโลกทั้งโลก ระหว่างต้องแข่งขันแบบสุดเหวี่ยงกับจีน กับรัสเซีย อีกด้วยต่างหาก...
สรุปรวมความแล้ว...ไม่ว่าจะเป็นโควิดสายพันธุ์เก่า สายพันธุ์ใหม่ เป็นเดลตาหรือโอมิครอนก็ตามที ล้วนแล้วแต่เป็นอะไรที่น่าเกลียด น่ากลัว ไปด้วยกันทั้งสิ้นนั่นแล อย่างที่องค์กรการท่องเที่ยวแห่งสหประชาชาติ หรือ “UNWTO” (World Tourism Organization) เขาเพิ่งออกมาเปิดเผยตัวเลขไปแบบสดๆ ร้อนๆ เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ว่านับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวของโลก หายวับไปกับตาไม่น้อยไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 30 ล้านล้านบาทสดๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น แม้ว่าแนวโน้มของการท่องเที่ยวในปีนี้ ทำท่าว่าน่าจะกระเตื้องขึ้นบ้างจากปีที่แล้ว หรืออยู่ที่ประมาณ 800,000 ล้านดอลลาร์ แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับปี ค.ศ. 2019 ที่เคยสูงถึง 1.7 ล้านล้านดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้...ประเทศที่ต้องอาศัย “รายได้หลัก” จากการท่องเที่ยว อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย อันมีจำนวนสูงถึง 16 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี เลยคงหนีไม่พ้นต้อง “แห้ง...กับ...แห้ง” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ ไม่ว่าจะต้องเจอกับเดลตาหรือโอมิครอน ก็เถอะ...