เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ “โอไมครอน” ถล่มตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรุนแรง 3 วันติดๆ ดัชนีหุ้นติดลบไปประมาณ 81 จุด และไม่อาจคาดหมายได้ว่าจุดต่ำสุดในรอบนี้จะอยู่ที่ใด
แนวโน้มตลาดหุ้นระยะสั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยดัชนีหุ้นมีสิทธิที่จะหลุดระดับ 1,550 จุด ถ้าสถานการณ์แพร่ระบาดของ “โอไมครอน” ยังเลวร้ายลงอีก
โบรกเกอร์ออกมายอมรับว่า “โอไมครอน” จะเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดหุ้นจนไม่อาจฟื้นตัวกลับขึ้นแตะระดับ 1,650 จุดในปลายปีนี้ และการพัฒนาวัคซีนมาป้องกันจะต้องใช้เวลาประมาณ 100 วัน ดังนั้น ตลาดหุ้นอาจตกอยู่ในสภาพความผันผวนอีกพักใหญ่
นักลงทุนต่างชาติชิงขายหุ้นทิ้ง และเทขายหนักตลอด 3 วันที่ผ่านมา เช่นเดียวกับกองทุนในประเทศและพอร์ตโบรกเกอร์
มีเพียงนักลงทุนรายย่อยเท่านั้นที่ช้อนหุ้นจนกลายเป็นผู้รับเหมา ซื้อของแพงติดมือกันโดยถ้วนหน้า
เพราะมองว่าผลกระทบจาก “โอไมครอน” อาจเกิดขึ้นเพียงระยะสั้น ตลาดหุ้นจะปรับฐานเพียงชั่วคราว ราคาหุ้นที่ปรับตัวลงจึงเป็นโอกาสซื้อของถูก
การปรับฐานครั้งนี้มีแนวโน้มที่จะไม่จบง่ายเสียแล้ว ซึ่งต่างชาติ กองทุน และพอร์ตโบรกเกอร์คงประเมินสถานการณ์ในแนวทางเดียวกันจึงแห่กันขายหุ้นทิ้ง โดยไม่คำนึงว่าจะต้องขายราคาต่ำ
เพราะถ้าไม่ตัดสินใจขาย ไม่ปรับพอร์ต กอดหุ้นไว้มีความเสี่ยงที่จะเสียหายมากขึ้น
หุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มต่างๆ ทรุดหนักตามๆ กัน จะมีเพียงบางตัวเท่านั้นที่พุ่งขึ้นสวนกระแส เช่น หุ้นบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA
หรือหุ้นในกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นอกนั้นถูกทุบเดี้ยงหมด
กลุ่มแบงก์ซึ่งเพิ่งจะตั้งหลักใหม่ถูกถล่มไม่เลี้ยง เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เพราะแม้จะเปิดประเทศ แต่เมื่อเกิดการแพร่ระบาดของไวรัส “โอไมครอน” ธุรกิจการท่องเที่ยวคงยังไม่ฟื้น
สถานการณ์ตลาดหุ้นช่วงโค้งสุดท้ายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับการประเมินก่อนหน้า เพราะไม่มีใครคิดว่าจะมีข่าวร้ายชิ้นใหญ่แทรกซ้อนเข้ามาสร้างความตื่นตระหนกให้นักลงทุนทั้งโลก และวันนี้ยังไม่หายตื่น
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้ซึมซับรับข่าวร้ายไประดับหนึ่งแล้ว และดัชนีหุ้นที่ลงมายืนในระดับ 1,560 จุด เริ่มจูงใจให้ซื้อเก็บเหมือนกัน เพียงแต่เสียหายที่นักลงทุนรายย่อยรีบร้อนไปหน่อย โดยเข้าไปซื้อตลอด 3 วันก่อนหน้า ทำให้ต้องแบกหุ้นต้นทุนสูง
ถ้าใจเย็นๆ ถือเงินสดไว้ และเริ่มทยอยซื้อจะได้หุ้นต้นทุนที่ต่ำลง และมีโอกาสเก็บเกี่ยวกำไรระยะสั้นเมื่อหุ้นดีดกลับ
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ปรับประมาณการเป้าหมายดัชนีหุ้นปลายปีนี้ โดยยังยืนตัวเลข 1,650 อยู่ มีเพียงบางโบรกเกอร์ที่ปรับลดประมาณการลงเล็กน้อย แต่ยังมองว่าสิ้นปีจะยืนอยู่เหนือ 1,600 จุด จึงมีช่องว่างทำกำไรอยู่
แม้ว่าทิศทางตลาดหุ้นโค้งสุดท้ายจะไม่สดใสนัก และมีความเสี่ยงจากผลกระทบ “โอไมครอน” แต่ราคาหุ้นลงมาลึกพอสมควรแล้ว ถ้าลงอีกน่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการสะสมหุ้น โดยเฉพาะนักลงทุนที่พอร์ตยังว่างๆ
จะหาโอกาสซื้อหุ้นต้นทุนต่ำ รอจังหวะช่วงวิกฤต “โอไมครอน” นี่แหละเหมาะ