การต่อสู้ของคนหนุ่มสาวที่เริ่มต้นขึ้นหลังจากพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ โดยเริ่มจากตัวละครหลักสองคนคือ เพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์ ในฝั่งธรรมศาสตร์ และฟอร์ด-ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี จากฝั่งจุฬาลงกรณ์ ก่อนจะสามารถสร้างกระแสให้ลุกลามไปได้ในอีกหลายสถาบันการศึกษาแล้วลงมาสู่ถนนในที่สุด
เป็นที่รู้กันว่าทั้งเพนกวินและฟอร์ดต่างก็เป็นสมาชิกของพรรคอนาคตใหม่ ตอนนี้เพนกวินถูกจองจำอยู่ในเรือนจำ ในขณะที่ฟอร์ด-ทัตเทพหนีไปกับหนุ่มคนรักพร้อมกับข้อกล่าวหาว่าหอบเอาเงินก้อนโตไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างประเทศด้วย
เสียงครหากล่าวหากันเรื่องเงินๆ ทองๆ เริ่มดังกระหึ่ม มีการเรียกร้องให้คนที่ถือเงินเปิดเผยบัญชี แต่ไม่ได้รับการตอบสนองโดยเฉพาะ “เฮียบุ๊ง-ปกรณ์ พรชีวางกูร” และ “ทราย-อินทิรา เจริญปุระ” ซึ่งเคยถูก “ต้อม-ยุทธเลิศ สิปปภาค” ผู้กำกับชื่อดัง ท้าให้เปิดเผยบัญชีเงินบริจาค ตัวยุทธเลิศเองก็ถูกครหาเรื่องเงินที่ขอบริจาคในการสร้างหนัง
ในขณะที่เฮียบุ๊งนั้นถึงกับประกาศกร้าวว่า “ดรามาให้แจงเรื่องเงิน...กูกับทรายขอตอบเลยว่า... ไม่แจง และจะไม่แจงแม้แต่บาทเดียว กูจะเอาไปทำไรก็เรื่องของพวกกู ใครมีปัญหาเรื่องนี้ นั่นคือเรื่องของมึง ไม่ใช่เรื่องของกู”
ทั้งที่คนทำงานที่มีจิตสาธารณะไม่ควรจะพูดแบบนี้ เราเรียกร้องประชาธิปไตยความโปร่งใส เมื่อสังคมรอบข้างมีคำถามเราก็ต้องกล้าที่จะเปิดเผยเพื่อคลี่คลายข้อครหาให้หมดไป
ในฐานะคนเคยทำม็อบมาก่อนผมเข้าใจครับว่า การทำม็อบต้องใช้เงินมาก คนหนุ่มสาวที่ยังเป็นนักศึกษาล้วนแล้วแต่ไม่มีรายได้ ทางเดียวที่จะทำม็อบได้ก็คือต้องหาเงินสนับสนุนทั้งจากแม่ยกพ่อยกจากนายทุนที่เปิดเผยตัวและไม่เปิดตัว รวมทั้งจากเงินบริจาค
เห็นการจัดเวทีแล้วเชื่อได้เลยว่าแต่ละครั้งต้องใช้เงินหลายแสนบาททั้งค่าเวที ค่าเครื่องเสียง ค่าเครื่องปั่นไฟ ค่าจอแอลซีดีขนาดใหญ่ ค่ารถบรรทุกที่นายทุนซึ่งทำธุรกิจด้านนี้มักเรียกราคาที่สูง เพราะการมาร่วมกับม็อบบนถนนไม่ใช่ในหอประชุมนั้นเป็นสถานที่เสี่ยงที่จะถูกจับกุมและยึดเอาอุปกรณ์ไปเป็นของกลางได้ง่าย ดังนั้นเชื่อว่านอกจากเงินบริจาคแล้วพวกเขาต้องมีนายทุนสนับสนุน
แต่ผมตกใจมากนะครับที่เห็นในตอนเริ่มต้นใหม่ๆ คนหนุ่มสาวต่างๆ พากันแสดงบัญชีธนาคารเพื่อขอเงินบริจาคเข้าตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่คนรุ่นก่อนไม่เคยทำ ส่วนใหญ่เขาจะใช้วิธีเปิดบัญชีร่วมกัน 3-4 คนแล้วต้องมีคนเซ็นเบิกร่วมกัน ตอนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยชุมนุมนั้น ต้องแสดงบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างเปิดเผยผ่านเว็บไซต์ผู้จัดการด้วยซ้ำไป
แต่คนหนุ่มสาวยุคนี้ไม่ทำอย่างนั้น ต่างแสดงบัญชีของตัวเองเพื่อให้คนเข้ามาบริจาคร่วม แน่นอนแกนนำหลักๆ ก็จะได้เงินเข้าบัญชีมาก ข้อครหาต่างๆ จึงเกิดขึ้น
กล่าวกันว่าบางคนที่เป็นแกนนำหลักได้ไปไม่น้อย โดยเฉพาะแกนนำบางคนที่มีเบื้องหลังที่น่ารันทดมาก่อน เราจึงเห็นพ่อแม่ของแกนนำเหล่านั้นออกมาร่วมม็อบกับลูกๆ เพราะมีคนบอกว่าลูกๆ สามารถสร้างรายได้เข้าบัญชีได้จำนวนมาก
ข้อกล่าวหาดังกล่าวจะจริงหรือเท็จไม่รู้ แต่การแสดงบัญชีเพื่อให้บริจาคเข้าตัวเองนั้นมันยากที่จะหลีกเลี่ยงข้อครหา เป็นบทเรียนที่คนหนุ่มสาวที่ปวารณาตัวเองต่อสู้กับความเป็นธรรมจะต้องตระหนักให้มาก แล้วถ้าบริสุทธิ์ใจก็ควรจะเปิดเผยตัวเลขออกมาให้เพื่อนร่วมอุดมการณ์รับรู้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่รับมานั้น ถูกใช้ไปกับการทำกิจกรรมในการชุมนุมจริงๆ ไม่ใช่สู้แล้วรวย
เมื่อคิดว่าตัวเองออกมาเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไปในแนวทางที่ดีขึ้น ตัวเองก็ต้องสร้างความโปร่งใสกับสังคมส่วนรวมให้ได้เสียก่อน ไม่ใช่เกิดข้อครหาอยู่ในเวลานี้
ผมไม่เชื่อหรอกว่าทุกคนจะมีพฤติกรรมดังที่กล่าวหามามีทั้งคนที่มาสู้ด้วยความบริสุทธิ์ใจ มีความเสียสละสูง แต่ก็มีคนที่เห็นว่าเข้ามาสู้แล้วได้ประโยชน์สามารถหาเงินได้จากการชุมนุม ม็อบรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ก็เห็นกันว่ามีหลายคนสู้แล้วรวย ทั้งๆ ที่ไม่มีอาชีพเป็นหลักเป็นฐานมาก่อน
แต่บางคนอาจจะปกป้องว่าคนที่สู้แล้วรวยไม่มีความผิด เพราะบอกว่าเมื่อเขามีบทบาทสูง มีความเสียสละที่จะเอาชีวิตไปแลกกับความเสี่ยงจากคุกตะรางสูงก็มีสิทธิที่เขาจะได้รับศรัทธาจากคนร่วมอุดมการณ์มาก ดังนั้นไม่ผิดหรอกถ้าเขาจะสู้แล้วรวย
พูดง่ายๆ ว่าความร่ำรวยที่ได้มานั้นเป็นผลพลอยได้จากการต่อสู้และเสียสละ
ผมเองก็เข้าใจคนหนุ่มสาวนะครับ บางคนต้องเอาอนาคตทางการศึกษาของตัวเองเข้าแลกกับความเชื่อที่ว่าบ้านเมืองเราเป็นเผด็จการต้องเรียกร้องประชาธิปไตย และถูกปลูกฝังความเชื่อว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ของเรานั้นเป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ถูกปลูกฝังให้หลงเชื่ออย่างผิดๆ ว่า พระมหากษัตริย์ของไทยนั้นอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย
ทั้งๆ ที่จริงแล้ว พระมหากษัตริย์ไทยทรงอยู่ใต้รัฐธรรมนูญมาแล้ว ตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี 2475 แต่คนที่ปลุกปั่นคนหนุ่มสาวบอกว่า ยังไม่อยู่ในรัฐธรรมนูญ ต้องไม่ให้มีพระราชดำรัสต่อสาธารณะ ต้องยกเลิกองคมนตรี ต้องไม่มีโครงการพระราชดำริเพื่อช่วยเหลือประชาชน ฯลฯ
เข้าใจว่าคนหนุ่มสาวถูกใช้เป็นเครื่องมือของคนจำนวนหนึ่งที่ไม่กล้าออกมาต่อสู้ด้วยตัวเอง เพราะเขาต้องการใช้ความห้าวหาญขาดสติยั้งคิดของคนหนุ่มสาวนั่นแหละเป็นเครื่องมือในการท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ เราจึงเห็นคนหนุ่มสาวแสดงออกต่อพระมหากษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่ไม่ยั้งคิดจนถูกดำเนินคดีเป็นจำนวนมาก แล้วพวกที่ซ่อนอยู่ข้างหลังก็ชื่นชมว่า คนหนุ่มสาวที่เอาชีวิตเข้าแลกนั้นได้ทลายเพดานในการกล่าวถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ไปหมดแล้ว
หลังจากพลาดพลั้งไปแล้ววันนี้จึงเห็นรุ้งและเบนจาพยายามวิงวอนศาลเพื่อขอโอกาสประกันตัวออกไปเรียนหนังสือ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่า หากมาร่วมชุมนุมบนถนนและท้าทายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วสิ่งที่ตามมาคือองคาพยพของรัฐย่อมจะต้องปกป้องกลไกของรัฐ และก่อนหน้านั้นศาลให้ประกันตัวไปแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อออกมาแล้วกลับกระทำในสิ่งที่ต้องห้ามเหมือนเดิม
แต่การต่อสู้เพราะความเชื่อและอุดมการณ์ก็ทำไป ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในแนวทางที่เราคิดว่าดีกว่า สิ่งที่ต้องทำอย่างแรกก็คือ ทำตัวเองให้มีความโปร่งใส แกนนำหลายคนที่เคยแสดงบัญชีเพื่อให้คนโอนเงินเข้ามาบริจาคควรจะเปิดเผยรายรับรายจ่าย เพื่อพิสูจน์ว่าที่คนโน้นคนนี้บอกว่ามีเงินเข้าบัญชีหลายสิบล้านบาทนั้นเป็นเรื่องที่ไม่จริง เพื่อให้การต่อสู้เป็นการต่อสู้ที่บริสุทธิ์จริงๆ
ผมพยายามเชื่อนะครับว่า แม้เราจะรับรู้กันว่ามีผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งที่ดันหลังให้คนหนุ่มสาวออกมาต่อสู้แทนพวกเขา แต่คนหนุ่มสาวหลายคนออกมาสู้ด้วยความบริสุทธิ์เพราะคิดว่าสิ่งที่ตัวเองเรียกร้องนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
แต่เมื่อวันนี้หลายคนถูกกล่าวหาว่าสู้แล้วรวย ก็อยากให้พวกเขาพิสูจน์ว่าข้อครหาเหล่านั้นไม่เป็นความจริง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan