เมืองไทย 360 องศา
แม้ว่าศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยอย่างชัดเจนแล้วว่า พฤติกรรมและการเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของกลุ่มที่ใช้สัญลักษณ์การชุมนุมด้วยการ “ชูสามนิ้ว” นั้น มีความผิดในลักษณะสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง และมีเจตนาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมีเจตนาล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมทั้งสั่งให้หยุดการกระทำในลักษณะดังกล่าวทันที แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างกำลังจะออกมาในทางตรงกันข้าม มิหนำซ้ำ ยังมีการเคลื่อนไหวที่ท้าทายศาลฯอีกด้วย
ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่เป็นสาระสำคัญตอนหนึ่งว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 49 มีเจตนารมณ์ปกป้องคุ้มครองระบอบการปกครองของประเทศ ให้เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และมุ่งหมายให้ปวงชนชาวไทยทุกคนมีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญจากการกระทําของบุคคล หรือกลุ่มคนที่ใช้สิทธิหรือเสรีภาพในประการที่อาจนําไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยยื่นคําร้องต่ออัยการสูงสุด เพื่อพิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญ หากอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่รับดําเนินการ หรือไม่ดำเนินการภายในสิบห้าวัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้อง รัฐธรรมนูญก็รับรองสิทธิของผู้ร้องให้ยื่นคําร้องโดยตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อพิจารณาวินิจฉัยสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวได้
ข้อเท็จจริงตามคําร้อง คําชี้แจง พยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งบันทึกเสียงการปราศรัย ของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ฟังเป็นยุติว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายในที่สาธารณะหลายครั้งหลายสถานที่ต่อเนื่องกัน ตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคม 2563 เรียกร้องให้ต้าเนินการแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 อภิปรายเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยข้อเรียกร้องรวม 10 ประการ
พิจารณาแล้วเห็นว่า พระมหากษัตริย์กับชาติไทย ดํารงอยู่คู่กันเป็นเนื้อเดียวกันนับแต่อดีตถึงปัจจุบัน และจะต้องดํารงอยู่ด้วยกันต่อไปในอนาคตเพื่อธำรงความเป็นชาติไทยไว้ ปวงชนชาวไทยจึงถวายความเคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เป็นการเซาะกร่อน บ่อนทําลายการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การออกมาเรียกร้องโจมตี ในที่สาธารณะโดยอ้างการใช้สิทธิ และเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ นอกจากเป็นวิธีที่ไม่ถูกต้อง ใช้ถ้อยคําหยาบคาย และยังไปละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอื่นที่เห็นต่างด้วย อันจะเป็นกรณีตัวอย่างให้บุคคลอื่นกระทําตาม ยิ่งกว่านั้น การกระทําของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีการดำเนินงานอย่างเป็นขบวนการ เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย แม้การปราศรัยของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 ณ เวทีธรรมศาสตร์จะไม่ทน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต จะผ่านไปแล้ว ภายหลังจากที่ผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ยังปรากฏว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ยังคงร่วมชุมนุมกับกลุ่มบุคคลกลุ่มต่างๆ โดยใช้ยุทธวิธีเปลี่ยนแปลงรูปแบบการชุมนุม วิธีการชุมนุม เปลี่ยนตัวบุคคลผู้ปราศรัย ใช้กลยุทธ์เป็นแบบไม่มีแกนนําที่ชัดเจน แต่มีรูปแบบการกระทําอย่างต่อเนื่องโดยกลุ่มคนที่มีแนวคิดเดียวกัน การเคลื่อนไหวของผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 3 และกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง มีลักษณะเป็นขบวนการเดียวกันที่มีเจตนาเดียวกันตั้งแต่แรก ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 มีพฤติการณ์กระทําซ้ำ และกระทําต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยมีการกระทํากันเป็นขบวนการ ซึ่งมีลักษณะของการปลุกระดมและใช้ข้อมูลที่เป็นเท็จ แต่มีลักษณะของการที่ก่อให้เกิดความวุ่นวาย และใช้ความรุนแรงในสังคม ทําให้เกิดความแตกแยกของคนในชาติ อันเป็นการทําลายหลักความเสมอภาคและภราดรภาพ นําไปสู่การล้มล้างระบอบประชาธิปไตยในที่สุด ทั้งเป็นการกระทําที่มีเจตนาเพื่อทําลาย หรือทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องสิ้นสลาย ไม่ว่าจะโดยการพูด การเขียน หรือการกระทําต่างๆ เพื่อให้เกิดผลเป็นการบ่อนทําลาย ด้อยคุณค่า หรือทําให้อ่อนแอลง ย่อมแสดงให้เห็นถึงการมีเจตนาเพื่อล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย
แม้เหตุการณ์ตามคําร้องผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากยังคงให้ผู้ถูกร้องที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 รวมทั้งกลุ่มในลักษณะองค์กรเครือข่ายกระทําการดังกล่าวต่อไป ย่อมไม่ไกลเกินเหตุที่จะนําไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคสอง ให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจสั่งการให้เลิกการกระทําดังกล่าวที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคตได้
สำหรับจำเลยที่ 1-2-3 ที่ถูกร้องดังกล่าวประกอบด้วย นายอานนท์ นำภา น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือ “รุ้ง” และ นายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือ “ไมค์” ซึ่งที่ผ่านมาเกือบทั้งหมดยังถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำจากการเพิกถอนประกันตัว และมีคำสั่งฝากขังจากคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดตาม มาตรา 112 ที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ในดคีอื่นๆ อีกหลายคดี ขณะที่ น.ส.ปนัสยา กับพวกก็มีกำหนดที่ศาลนัดไต่สวนคำร้องการเพิกถอนประกันตัวในวันที่ 18 พฤศจิกายนนี้ โดยเป็นการเลื่อนพิจารณามาจากวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
ล่าสุด เธอก็ยังนัดชุมนุมเคลื่อนไหวเรียกร้องที่เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยพวกเธออ้างว่า “การปฏิรูปไม่ใช่การล้มล้าง” โดยนัดชุมนุมกันในวันที่ 14 พฤศจิกายน ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยมีเป้าหมายเคลื่อนขบวนไปที่ท้องสนามหลวง ซึ่งแน่นอนว่า นี่คือ การท้าทายคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ให้หยุดการเคลื่อนไหวและหยุดพฤติกรรมในลักษณะดังกล่าวทันที
แน่นอนว่า หากพิจารณาจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญและนำมาเปรียบเทียบกับการเคลื่อนไหวของพวก “ม็อบสามนิ้ว” ย่อมต้องมีความผิดอย่างชัดเจน และยังเป็นเจตนาท้าทายศาลรัฐธรรมนูญที่ระบุอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน คำวินิจฉัยดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ ย่อมมีผลผูกพันทุกองค์กร ทำให้เป็นที่จับตามองกันต่อไปว่า เมื่อบรรดาแกนนำพวกนี้ถูกดำเนินคดี ถูกตั้งข้อหาเพิ่ม จะมี ส.ส.จากบางพรรค เช่น ที่ผ่านมา จะเห็น ส.ส.จากพรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทยใช้ตำแหน่ง ส.ส.ไปประกันตัวผู้ต้องหา จะมีความผิด และถูกดำเนินคดีหรือไม่ เพราะศาลฯระบุว่าการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ทำกันเป็น “ขบวนการ”
ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นย่อมมองอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากมีเจตนาท้าทายคำวินิจฉัยของศาล และมีเจตนากระทำผิด สร้างความแตกแยก เจตนาย่ำยีความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ของบ้านเมือง ขณะเดียวกัน เมื่อรู้ว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมาย แต่ยังฝืนทำก็ต้องก้มหน้ารับผลที่จะตามมาก็แล้วกัน !!