ไม่เหนือความคาดหมายเมื่อกลุ่มม็อบ 3 นิ้วไม่ใส่ใจและสนใจต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีมาตรา 112 และว่าด้วยเรื่องการล้มล้างการปกครอง นอกจากไม่สนใจแล้วยังแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจนเปิดเผยในประเด็นที่ศาลได้ชี้ให้เห็นว่าการกระทำของม็อบ 3 นิ้วนั้น ละเมิดต่อกฎหมายบ้านเมืองอย่างไร
ความไม่หวาดหวั่นต่อข้อบังคับของกฎหมายและคดีอาญาสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มเหล่านี้มีความมุ่งมั่นพยายามที่จะขับเคลื่อนกรณีให้ยกเลิกมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้จนได้ เหมือนกับมีความเชื่อมั่นว่าความพยายามนี้จะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในที่สุด
คงไม่เพียงแต่กลุ่มม็อบ 3 นิ้วหรือกลุ่มการเมืองบางพรรคที่มีแนวคิดต่อสภาวะในประเทศไทยตรงกันเท่านั้น จะเห็นได้ว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้รับความสนใจจากสื่อต่างชาติไม่น้อยสื่อสิ่งพิมพ์พาดหัวข่าว ในรูปแบบที่ไม่เป็นธรรม
หลังจากคำวินิจฉัย กลุ่มม็อบ 3 นิ้วและเครือข่ายได้เริ่มกิจกรรมขับเคลื่อนต่อเนื่องในเรื่องมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งการแสดงออกซึ่งท้าทายกฎหมายมากกว่าเดิม
อย่างที่การแสดงภาพเครื่องกิโยติน ภาพอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและความเคลื่อนไหวหลายกลุ่มโดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ผ่านมา โดยประกาศเป็นการชุมนุมใหญ่เพื่อสร้างแรงกดดันและแสดงให้เห็นว่าอำนาจรัฐไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าเกรงขาม
รัฐบาลก็คงจะดำเนินคดีตามกฎหมายไปตามสภาพของการละเมิดในช่วงการชุมนุม และก็เป็นการทำได้แต่เพียงเพิ่มจำนวนคดีให้กลุ่มผู้ละเมิดกฎหมายซึ่งปัจจุบันนี้แกนนำและพวกกลุ่มม็อบ 3 นิ้วก็มีคดีมากกว่า 700 คดี รวมถึงผู้ที่ยังถูกจองจำอยู่ในคุกไร้โอกาสประกันตัว
ก็มีคำถามว่ารัฐบาลจะมีมาตรการพิเศษอย่างไรหรือไม่ในการสกัดยับยั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ 3 นิ้วในประเด็นมาตรา 112 และปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เพราะกฎหมายไม่ได้มีความหมายในสายตาของคนเหล่านี้
เปรียบเสมือนความตายไร้ความหมายในสายตาของกลุ่มก่อการร้ายและนักรบพลีชีพ ซึ่งยอมสละชีวิตเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่ตัวเองต้องการ
แน่นอนกลุ่มม็อบ 3 นิ้วก็จะต้องเร่งมือยกระดับความเคลื่อนไหวและประโคมข่าว อาศัยองค์กรทั้งในและต่างประเทศเพื่อสร้างประเด็นให้เป็นที่น่าสนใจในวงการระหว่างประเทศ และหวังว่าจะได้รับการสนับสนุนและความเห็นใจจากรัฐบาลต่างประเทศ ดังที่ได้เกิดขึ้นในฮ่องกงและประเทศอื่นๆ ซึ่งมีความเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อต้านรัฐบาล
ประชาชนทั่วไปที่เพิกเฉยต่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ 3 นิ้วอาจรู้สึกรำคาญหรือมองว่าเป็นเรื่องที่สร้างความไม่สงบและเดือดร้อนต่อประชาชนเมื่อมีการชุมนุมปิดถนน
แต่ที่ลึกไปกว่านั้นก็คือความเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ 3 นิ้วสะท้อนให้เห็นความแตกแยกในสังคมด้านความคิดระหว่างกลุ่มผู้ที่เอาสถาบันกษัตริย์ และพวกไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์ แต่อ้างการปฏิรูปแทนเจตนาแฝงเร้นซึ่งมุ่งล้มล้างตามที่ฝ่ายบ้านเมืองประเมิน
ความแตกแยกในสังคมมีทั้งด้านความคิดและช่องว่างระหว่างวัย ซึ่งเป็นข้ออ้างว่าคนต่างยุคและคนที่อยู่ในวัยกลางคนถึงขั้นชราภาพนั้น ไม่ได้มีบทบาทสำคัญต่ออนาคตของประเทศซึ่งจะต้องอยู่ในกำมือของคนรุ่นใหม่
แต่ข้อถกเถียงอย่างนี้เป็นเพียงม่านบังฉาก และปิดบังเจตนาของความพยายามที่จะไม่ให้สถาบันกษัตริย์คงอยู่ต่อไป เพราะที่ผ่านมามีแต่กลุ่มม็อบ 3 นิ้วและเครือข่ายเท่านั้นที่รู้สึกเดือดร้อนกับการมีสถาบันกษัตริย์
ที่ผ่านมาก็ไม่มีคำอธิบายชัดเจนว่าสถาบันกษัตริย์และสร้างความเดือดร้อนต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนทั่วไปอย่างไรหรือเกี่ยวพันกับสภาพโครงสร้างโดยรวมของประเทศอย่างไร
ประเด็นที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือกลุ่มม็อบ 3 นิ้วได้รับการบ่มสอนหรือปั่นหัวฝังแนวความคิดจากกลุ่มผู้สอนหนังสือในสถาบันมหาวิทยาลัยซึ่งมีความไม่ชอบ ความฝังใจด้านลบต่อสถาบันกษัตริย์ทำให้มีการถ่ายทอดแนวคิดนี้มาโดยตลอด
ขณะพวกสอนหนังสือรุ่นเดียวกันวัยใกล้เคียงกันก็ได้รับการบ่มสอนจากอาจารย์รุ่นก่อน เพราะในประเทศไทยอาจารย์ผู้สอนก็มาจากลูกศิษย์ที่จบการศึกษา และไม่เลือกที่จะประกอบอาชีพอื่นๆ ที่มีความท้าทายความรู้ความสามารถซึ่งจำเป็นต้องพิสูจน์ในกรณีที่มีการว่าจ้างในภาคเอกชน
สภาวะเช่นนี้รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์จะวางเฉยต่อการรุกคืบของกลุ่มม็อบ 3 นิ้วก็ไม่ได้ จะปราบปรามด้วยกำลังก็เสี่ยงกับการถูกตำหนิโดยองค์กรต่างๆ ซึ่งเกี่ยวโยงเรื่องสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย
ที่ผ่านมาการเพิกเฉยของผู้นำรัฐบาลอย่างเช่นคำพูดที่ว่า “ตัวเองไม่ใช่คู่ขัดแย้งโดยตรง” ทำให้เป็นเหตุของการลุกลามในการเคลื่อนไหวท้าทายกฎหมาย และกล่าวจาบจ้วงการแสดงออกอย่างหยาบคาย โดยกลุ่มม็อบ 3 นิ้วและเยาวชน ซึ่งไม่ควรเป็นการกระทำของนักศึกษาผู้ที่ถูกมองว่ามีความรู้และไม่ใช่อนารยชน
ประเด็นที่หน้าเฝ้ามอง จากนี้ไปคือการสังเกตว่าความเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบ 3 นิ้วนั้น โดยเฉพาะการเรียกชุมนุมใหญ่จะได้รับการสนับสนุนมากหรือน้อย มีคนเข้ากลุ่มหนาแน่นเพียงใด
และต้องดูว่ามีการยกระดับเรื่องการใช้ความรุนแรงในการปะทะกับเจ้าหน้าที่รวมถึงจำนวนของการจัดชุมนุมในแต่ละวันว่ามีความถี่เพียงใด
ดูการชุมนุมวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ผู้เข้าร่วมก็หนาตาอยู่ เพียงแต่ไม่ได้ไปสนามหลวงตามเป้าหมายเพราะถูกสกัดปิดเส้นทางทุกด้าน ต้องย้ายไปสี่แยกปทุมวัน การปราศรัยยังดุเดือด เน้นปฏิรูปสถาบันกษัตริย์เหมือนเดิม
คนทั่วไปคงมองด้วยความเป็นห่วงว่าสถานการณ์เรื่องนี้คงจะไม่จบลงได้ง่ายเพราะฝ่ายม็อบ 3 นิ้วมองว่าได้ลงทุนไปเยอะแล้ว เสี่ยงคุกเสี่ยงตะราง คดีมากมาย โอกาสที่จะเป็นอิสรชนคนมีเสรีภาพจากนี้ไปคงจะยาก
ผู้นำห้าวเป้งคงมองว่าตัวเองไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับม็อบ ประชาชนอยากรู้ว่าจะให้ยืดเยื้อเรื้อรัง ส่อแววว่าจะรุนแรงอย่างนี้ต่อไปเช่นนั้นหรือ ให้เป็นปัญหาของแผ่นดิน แล้วท่านจะอยู่ไปเพื่ออะไร
หรือเพื่อตัวเองอีก?