ระหว่างที่โลกทั้งโลก...กำลังออกอาการ “ไปไม่เป็น” ไม่ว่าจะในเรื่องไวรัส เรื่องพลังงาน ไปจนเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง ฯลฯ หนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ วันนี้...ลองแวะไปดูลักษณะอาการของ “ประมุขโลก” หรือ “ผู้นำโลก” อย่างคุณพ่ออเมริกาน่าจะเหมาะกว่า ว่าบรรดา “อเมริกันชน” ทั้งหลายเขากำลังคิดอะไรอยู่ ด้วยเหตุเพราะช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักโพลระดับแนวหน้าของอเมริกา อย่าง “University of Virginia Center for Politics” เขาได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจ วิจัย ถึงความคิด ความอ่านของอเมริกันชน ต่อปัญหาการเมืองภายในประเทศ เอาไว้อย่างน่าคิด น่าสะกิดใจ เอามากๆ...
คือสำนักวิจัยของ “University of Virginia Center for Politics” นั้น...ต้องเรียกว่า “ไม่ธรรมดา” ก่อตั้งมาตั้งแต่ 20 กว่าปีที่แล้ว โดยไม่ต้องพึ่งพา หรือไม่ต้องให้ใครมาสั่งหันซ้าย-หันขวา ได้เลยแม้แต่น้อย ได้รับเงินสนับสนุน บริจาค จากผู้คนหลากหลายอาชีพ หลากหลายแนวคิดทางการเมือง เผลอๆ...อาจน่าเชื่อ น่ารับฟัง ซะยิ่งกว่า “ดุสิตโพล” หรือ “นิด้าโพล” ฯลฯ บ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่ โดยเมื่อช่วงวันศุกร์ (1 ต.ค.) ที่ผ่านมาสดๆ ร้อนๆ นี่แหละ เขาได้ออกมาเปิดเผยผลสำรวจ วิจัย ความคิด ความเห็น ของบรรดาอเมริกันชนทั้งสองฝ่าย ทั้งฝ่าย “รีพับลิกัน” และ “เดโมแครต” หรือทั้งผู้ที่โหวตให้ “ทรัมป์บ้า” และผู้ที่โหวตให้ “ไบเดน” ในการเลือกตั้งประธานาธิบดีคราวที่ผ่านมา โดยมีข้อสรุปที่น่าสนใจก็คือว่า...กว่า 52 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่โหวตให้ “ทรัมป์บ้า” และ 41 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่โหวตให้ “ผู้เฒ่าโจ” ต่างชักเริ่ม “เห็นควรด้วย” ต่อการ “แยกประเทศ” แยกบ้าน แยกเมือง ออกเป็น “ประเทศแดง” (รีพับลิกัน) “ประเทศน้ำเงิน” (เดโมแครต) ให้สิ้นเรื่อง สิ้นราว ไปซะที!!!
นี่...ต้องเรียกว่า ออกอาการแบบ “คนละเรื่อง-คนละม้วน” กับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างคุณพี่จีน ที่เพิ่ง “ปูพรมแดง” ต้อนรับ “เมิ่ง หว่านโจว” ลูกสาวบริษัท “หัวเว่ย” ที่หลุดรอดคดีอันเนื่องมาจากการสมคบคิดระหว่างอเมริกาและแคนาดา จนกลายมาเป็น “สัญลักษณ์” แห่ง “ชาตินิยมแบบจีนๆ” ไปแล้วก็ว่าได้ คือขณะที่ยิ่งนานวัน...บรรดากุมารจีนทั้งหลาย ยิ่งทวีความเข้มข้นในทางเอกภาพ ความสามัคคี โดยจะเป็นผลดี-ไม่ดีต่อประเทศรอบข้าง หรือต่อโลกทั้งโลกหรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่สำหรับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลายแล้ว กลับหันมาเพิ่มความรังเกียจเดียดฉันท์ ความโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยา และชิงชังซึ่งกันและกัน อย่างชนิดน่าลำบากเอามากๆ ในการ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ภายในอนาคตเบื้องหน้า เผลอๆ...ความเกลียดชังระหว่างกันและกัน อาจหนักหนาสาหัสกว่าพวกเหลือง-พวกแดง พวก 3 นิ้ว 3 กีบ กับพวกเชียร์ลุง หรือพวกไอโอ ฯลฯ ในบ้านเราเอาเลยก็ไม่แน่...
คือต่างฝ่าย...ต่างเห็นว่าฝ่ายตรงข้าม เป็นอะไรที่ “ชั่วร้าย” พอๆ กับผี กับปิศาจ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! ขณะที่ 90 เปอร์เซ็นต์ของบรรดาผู้ที่โหวตให้ “ทรัมป์บ้า” เห็นว่าบรรดาพวก “เดโมแครต” ทั้งหลาย คือผู้ที่พยายามบั่นทอน ทำลาย คุณค่าทางวัฒนธรรมของอเมริกันชน หรือ “วิถีทางอเมริกัน” ที่เคยปลูกฝังมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนาน แต่บรรดาผู้ที่โหวตให้ “ผู้เฒ่าโจ” จำนวนถึง 78 เปอร์เซ็นต์ กลับเชื่อว่าการกระทำดังกล่าวของตัวเอง ก็คือการพิทักษ์และปกป้อง “ความก้าวหน้า” ในทางวัฒนธรรมของอเมริกัน ให้ดำรงคงอยู่ต่อไปให้จงได้ หรือขณะที่ 80 เปอร์เซ็นต์ของผู้โหวตให้ “ผู้เฒ่าโจ” คิดว่าตัวเองกำลังเป็นผู้ “ปกป้องระบอบประชาธิปไตย” จากพวกเหยียดผิว คลั่งชาติ พวกเผด็จการขวาจัด อะไรทำนองนั้น แต่ 84 เปอร์เซ็นต์ของผู้โหวตให้กับ “ทรัมป์บ้า” กลับมองว่า การกระทำดังกล่าวคือการชักลากประเทศให้สวิงไปทางซ้าย ไปสู่ความเป็นคอมมิวนิสต์ หรือเป็น “อันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย” อย่างชนิดน่าเกลียด น่ากลัว เป็นอันมาก...
แม้แต่บรรดาผู้ที่ “ถือหาง” ของแต่ละฝ่าย...โดยเฉพาะ “สื่อฯ” ต่างๆ ที่ถูกแบ่งประเภทออกเป็นพวก “เชียร์ลุง” หรือ “โค่นลุง” แบบบ้านเราอะไรทำนองนั้น 77 เปอร์เซ็นต์ของพวกเดโมแครต หรือผู้โหวตให้กับ “ผู้เฒ่าโจ” เลยหนีไม่พ้นต้องหันไปด่า “Fox News” ที่เชียร์ลุง หรือ “เชียร์ทรัมป์” มาโดยตลอด ว่าเป็นพวกชอบปล่อยข่าวหลอก ข่าวปลอม ข่าวเฟกนิวส์ ประมาณนั้น ขณะที่ 88 เปอร์เซ็นต์ของพวกรีพับลิกัน หรือพวกที่เห็นดี เห็นงาม กับ “ทรัมป์บ้า” ก็เลยหันไปด่า “MSNBC” ว่าเป็นพวก “อวย” เดโมแครตอย่างไม่คิดจะลืมหู ลืมตา ชนิดใครเป็น “กนก” เป็น “ธีระ” เป็น “สันติสุข” ฯลฯ หรือใครเป็น “สรยุทธ” เป็น “ฐปณีย์” เป็น “คำ ผกา” ฯลฯ อันนี้...คงต้องไปแยกแยะเอาเองตามแบบฉบับฝ่ายใครก็ฝ่ายมัน ส่วนประเภท “สนธิ ลิ้มฯ” นั้น น่าจะมีอยู่แต่เฉพาะบ้านเราเท่านั้น ที่ยังคงรักษา “มาตรฐาน” ได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่กลายเป็นฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดเอาง่ายๆ...
สรุปเอาเป็นว่า...ออกจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ สำหรับสังคมอเมริกันในทุกวันนี้ แม้ว่า 46 เปอร์เซ็นต์ของผู้สนับสนุนเดโมแครต จะยังคงยืนหยัด ยืนยัน ที่จะยึดมั่นอยู่กับ “ระบอบประชาธิปไตย” แม้ว่าอยากจะแยกประเทศ หรือแม้จินตนาการในการแยกประเทศอาจเป็นจริง-เป็นจังขึ้นมาเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ และ 44 เปอร์เซ็นต์ ของผู้สนับสนุนรีพับลิกันก็ยังพร้อมเดินหน้าไปตามเส้นทางประชาธิปไตย อย่างไม่คิดผันแปรไปเป็นอื่น แต่ทั้งคู่ หรือทั้งสองพรรค ต่างแสดงออกถึงความปรารถนาและต้องการ อยากจะได้ “ผู้นำที่เข้มแข็ง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่า 82 เปอร์เซ็นต์ของรีพับลิกัน หรือ 62 เปอร์เซ็นต์ของเดโมแครต ที่หวังอยากให้ผู้นำของตนไม่ถึงกับบ้าแล้ว-บ้าอีก หรือไม่ถึงกับง่วงเหงาหาวนอนจนเกินไป แต่กระนั้นก็ตาม...ชักเริ่มมีเสียงของอเมริกันชนบางกลุ่ม บางราย ที่ชักอยากเห็น “ผู้นำที่สามารถใช้อำนาจโดยไม่จำเป็นต้องถูกบีบบังคับโดยรัฐสภาหรือโดยศาล” อีกต่อไปแล้ว!!!...
นี่...ชักเริ่มออกอาการอยากจะได้ “ฮิตเลอร์” อยากจะได้ “เผด็จการ” ขึ้นมาบ้างแล้วรางๆ อันเนื่องมาจากความเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ในสังคมอเมริกันที่ออกจะต่อเนื่อง ยาวนาน และนับวันยิ่ง “ซึมลึก” ยิ่งเข้าไปทุกที เพราะเรื่องการแยกบ้าน-แยกเมือง แยกประเทศในสังคมอเมริกันนั้น ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว หรือเมื่อเกิดการรบราฆ่าฟัน ระหว่าง “ฝ่ายเหนือ” กับ “ฝ่ายใต้” เมื่อช่วงปี ค.ศ.1861 ที่เรียกว่า “สงครามกลางเมือง” หรือ “สงครามเลิกทาส” แต่เพียงเท่านั้น แต่การไหลมารวมตัวอย่างหลวมๆ ของบรรดาชาวยุโรปในแต่ละแหล่ง แต่ละที่ จนกลายเป็นประเทศ “United States of America” ขึ้นมานั้น เอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันเต็มไปด้วยความแตกต่างกันในด้านวัฒนธรรม การกิน-การอยู่ หรือแม้แต่แนวคิด วิธีคิดมาโดยตลอด ใครที่สนใจรายละเอียดในเรื่องทำนองนี้ อาจลองไปหาอ่านหนังสือเรื่อง “American Nations: A history of Eleven Rival Regional Cultures in North America” ของ “Colin Woodard” เมื่อเกือบ 10 ปีที่แล้วลองดูก็ได้ ที่ถึงกับแบ่งแยกประเทศออกเป็น 11 ส่วน 11 ประเทศ โดยอาศัยความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ชีวิตความเป็นอยู่ แนวคิด วิธีคิด เป็นภาพสะท้อนให้เห็นกันชัดๆ อย่างชนิดมีน้ำหนักเอามากๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยเหตุเพราะ “ผลประโยชน์” นั่นเอง!!! ที่เป็นตัวผูกโยง ยึดโยงสิ่งต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมือง การค้า การลงทุน ฯลฯ หรือผลประโยชน์จากความเป็น “จักรวรรดินิยม” ด้วยการซื้อดินแดน ขยายประเทศ รุกรานบ้านอื่น เมืองอื่น หรือปล้นประเทศ ปล้นดินแดน ฯลฯ เอาเลยก็ยังมี ดังนั้น...เมื่อ “ความเสื่อม” แห่งความเป็นจักรวรรดินิยมอุบัติขึ้นมาเมื่อไหร่ ความผูกพันทางผลประโยชน์ ที่มันไม่ค่อยได้ลึกซึ้ง นุ่มนวล และประณีต เหมือนอย่างความผูกพันทางประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์ หรือภาษา ฯลฯ ย่อมต้องเสื่อมตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนจะมีผลให้อาการเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊ก ของคุณพ่ออเมริกาเป็นไปถึงขั้นไหน แตกกระสานซ่านเซ็นแบบเดียวกับอดีต “จักรวรรดิสังคมนิยม” อย่างโซเวียต-รัสเซีย ตามแนวคิด คำทำนาย ของนักคิดชาวรัสเซียเมื่อหลายปีที่แล้ว หรือจะค่อยๆสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง แบบเดียวกัยอดีต “จักรวรรดินิยมอังกฤษ” อย่างที่นักคิด นักวิชาการชาวจีน ได้ประมาณการเอาไว้ อันนี้...ก็คงต้องคอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน...