เพื่อไม่ให้ถึงกับซีเรียส ซีเครียด จนเกินไป เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องลองหันไปหาอะไรที่ออกไปทางสดใส ซาบซ่า ไว้มั่งน่าจะเหมาะกว่า เพราะโดย “ข่าวล่า-มาเรือ” เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็น่าจะมีอะไรที่พอให้ “กรี๊ดๆ-กร๊าดๆ”อยู่บ้างเหมือนกัน เช่น ข่าวการตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ของผู้นำอเมริกา คุณปู่ “โจ ไบเดน”ไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ โดยตรงกับผู้นำจีน อย่างประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา หรือตั้งแต่เริ่มเข้ามารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีอเมริกัน โดยใช้เวลาพูดคุยกันนานถึง 90 นาที เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แน่ละว่า...การพูดคุยกันในลักษณะเช่นนี้ คงไม่ใช่แค่การจ๊ะๆ จ๋าๆ นะจ๊ะ-นะจ๊ะ แต่เพียงเท่านั้น แต่ว่ากันว่า...ว่ากันในระดับ “ลงลึก” และ “ตรงไป-ตรงมา” ถึงยุทธศาสตร์ นโยบายและบรรยากาศต่างๆ ที่อาจพอช่วยให้ “การแข่งขัน” กันแบบดุเดือดเลือดพล่าน ของมหาอำนาจทั้งสองฝ่าย ไม่ต้องหนักหน่วงรุนแรงไปจนถึงขั้นต้องกลายเป็นการเผชิญหน้า การปะทะขัดแย้ง ที่มีแต่จะทำให้โลกทั้งโลกพลอยต้องฉิบหายตามไปด้วย หรือแบบที่ผู้นำจีนท่านได้สรุปเอาไว้ตาม “รายงานข่าว”ของหลายต่อหลายสำนักนั่นแหละว่า... “โลกจะเดือดร้อน...ถ้าหากอเมริกากับจีนเป็นศัตรูกัน แต่โลกจะได้ประโยชน์อย่างมากจากความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่าย ดังนั้น...ผู้นำอเมริกาควรต้องใช้ความกล้าหาญทางการเมือง ผลักดันให้ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกาและจีน กลับไปสู่ทิศทางที่ถูกต้องให้จงได้” อะไรประมาณนั้น...
คือถ้าหากทุกสิ่งทุกอย่าง...มันมีข้อสรุปไปในแบบที่ว่า แบบที่ผู้นำประเทศเล็กๆอย่างสิงคโปร์ เคยออกมากู่ก้องร้องตะโกน ติงๆ เตือนๆ เอาไว้เมื่อไม่นานมานี้ หรือแบบที่นักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ทางการเมือง บางกลุ่ม บางราย ยังพอมองเห็นถึงความเป็นไปได้ ในการ “หันมาร่วมมือกัน”ระหว่างมหาอำนาจคู่แข่งเหล่านี้ อันนี้...คงต้องถือเป็น “บุญช่วย” หรือ “บุญบังเอิญ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย ไม่ว่าจะด้วยเหตุเพราะผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุด อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” เกิดอาการบรรลุโสดาปฏิมรรค-โสดาปฏิผล มองเห็นถึงความรุ่งเรือง-ความฉิบหายของทั้งชาวอเมริกันและชาวโลกภายในอนาคตเบื้องหน้าได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ชนิดไม่คิดจะส่ง “ทหารอเมริกัน”ออกไปรบ ไปแทรกแซง ไปยัดเยียดประชาธิปไตยให้ใครต่อใครต่อไปอีกแล้ว พร้อม “ยุติสงคราม” ของลูกหลานชาวอเมริกันในสมรภูมิต่างๆ ไม่ใช่แค่ใน “สมรภูมิอัฟกานิสถาน” แต่เพียงเท่านั้น ดังที่ผู้นำรายนี้ออกมาย้ำแล้ว ย้ำอีก ย่อมต้องถือเป็นอะไรที่สดใส ซาบซ่า อยู่พอสมควรทีเดียว...
หรือแม้แต่จะด้วยเหตุแห่ง “ความเสื่อม”ของประเทศอเมริกา หรือของความเป็น “จักรวรรดินิยม”ทั้งระบบ ที่หลังๆ มานี้คงต้องยอมรับว่า ออกจะเสียหมา เสียสุนัข เสียรังวัด กันไปมิใช่น้อย ไม่ใช่แค่เฉพาะการ “ถอนทหาร” แบบหนียะย่าย พ่ายจะแจในอัฟกานิสถาน ที่ทำให้บรรดา “พันธมิตร”อเมริกาไม่ว่าในภูมิภาคไหน ซีกโลกไหน ก็เถอะ ต่างเสื่อมศรัทธาต่อหลักประกันที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดรายนี้เคยสัญญิง สัญญา เอาไว้ก่อนหน้านั้น แต่การออกมาแถลงข่าวของรัฐมนตรีคลังคนใหม่ “นางเจเน็ต เยลเลน” (Janet Yellen) เมื่อช่วงวันพุธ (8 ก.ย.) ที่ผ่านมา ถึง “ภาวะหนี้สิน”ของประเทศอเมริกา ที่กำลังตกอยู่ในสภาพไม่มีเงินพอเอามาใช้หนี้ที่จะถึงกำหนด ภายในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยเฉพาะถ้ารัฐสภาไม่ลงมติให้เลิกจำกัดปริมาณหนี้สินไม่ให้ขยายตัวเกินไปกว่านี้ แบบที่เคยขยายแล้วขยายเล่ามาโดยตลอด เพราะช่วงประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา หรือระหว่างปี ค.ศ. 2019-2022 การเพิ่มปริมาณหนี้สินให้ประเทศของรัฐบาลอเมริกัน มันพุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นไปอีกไม่น้อยไปกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ หรือพุ่งขึ้นไปถึง 24.3 ล้านล้านดอลลาร์เข้าไปแล้ว กลายเป็นการสร้างหนี้ที่โตเร็วกว่าการสร้างผลผลิตไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หรือทำให้ปริมาณหนี้อเมริกาสูงเกินกว่า 109 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี ถ้าว่ากันตามตัวเลข ข้อมูล ที่ “IMF” เขาได้สรุปไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปี ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา และส่งผลให้เกิดแรงกดดันต่อค่าเงินดอลลาร์ ไปจนถึงความสิ้นหวังในการคิดฟื้นฟู บูรณะเศรษฐกิจ ภายในประเทศ แม้จะคิดอัดฉีดกันในระดับนับเป็นล้านล้านดอลลาร์ก็ตามที ฯลฯ ฯลฯ...
หรือจะด้วยเหตุเพราะความ “กรอบ” เป็น “ข้าวเกรียบกุ้งเมืองเพชรฯ”ของประเทศอเมริกาเองก็แล้วแต่ ที่ทำให้ผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ”เลยต้องหันไปเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับประธานาธิบดี “สี”ของจีน กันถึง 80-90 นาที จนกลายเป็น “ข่าวดี” หรือเป็น “แนวโน้มในแง่บวก” สำหรับโลกทั้งโลก ที่อาจจะได้เห็น “ความร่วมมือ” ระหว่าง 2 หรือ 3 มหาอำนาจคู่แข่งในเรื่องราวต่างๆ อันจะทำให้ความร้อนแรงของ “แนวรบ”ในแต่ละด้าน ไม่ว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” ที่ไม่เพียงแต่การต่อต้านโครงการท่อขนส่งพลังงานของรัสเซีย จะ “แห้วกระป๋อง” ลงไปอย่างชัดเจนแล้ว การดิ้นรนกระวนกระวายของประธานาธิบดียูเครน ที่จะขอผนวกตัวเองเข้ากับองค์กรความร่วมมือทางทหารอย่าง “นาโต” ก็น่าจะ “แห้ว”ไปในลักษณะไม่ต่างไปจากกัน หลังการพบปะอย่างเป็นทางการระหว่างผู้นำยูเครนกับผู้นำอเมริกาเมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา หรือ “แนวรบตะวันออกกลาง” ที่เริ่มเกิดการริเริ่มที่จะเจรจาระหว่าง 2 คู่กัด หรือ 2 พี่เบิ้มแห่งภูมิภาค อย่างอิหร่านกับซาอุดีอาระเบีย ขณะที่การถอนทหารอเมริกันออกจากดินแดนอิรักภายในช่วงสิ้นปีนี้ กลายเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธอีกต่อไปได้ รวมไปถึง “แนวรบในทะเลจีนใต้” ที่ผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ”พร้อมแสดงความยอมรับต่อ “นโยบายจีนเดียว” ในระหว่างการพูดคุยคราวนี้...
แต่ก็นั่นแหละ...โอกาสที่จะสรุป ฟันธง หรือฟันเฟิร์มไปแนวนี้ในแบบมิดผืน มิดด้าม ก็ยังเป็นอะไรที่น่าจะ “ลำบาก” มิใช่น้อยหรืออย่างที่นักวิเคราะห์ นักสังเกตการณ์ด้านต่างประเทศ เช่น ศาสตราจารย์ “Glenn Diesen”แห่งมหาวิทยาลัย “South-Eastern Norway” ได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดในเว็บไซต์ “รัสเซีย ทูเดย์”ว่าด้วยเรื่อง “Biden wants and end to US foreign adventures, but the multi-billion dollar death & destruction industry still has him in its grip.”หรือแม้ว่าผู้นำอเมริกันอย่าง “ผู้เฒ่าโจ” อยากจะเลิกๆ นโยบายต่างประเทศแบบสุ่มเสี่ยงลงไปสักเพียงไหน แต่ภายใต้สถานะของตัวเองที่ต้องตกอยู่ในอุ้งมือของพวกนักอุตสาหกรรมค้าสงคราม นักทำลายล้าง ในอเมริกาอย่างมิอาจปฏิเสธได้ โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปในแง่ดี แง่บวก ก็ออกจะเป็นอะไรที่ยากเย็นแสนเข็ญ เต็มที...
เพราะโดยเหตุผล ข้อมูล ตัวเลขสถิติ ที่ศาสตราจารย์รายนี้ ท่านหยิบยกมาอ้างอิงไว้ในข้อเขียนดังกล่าว ก็คงต้องยอมรับว่าออกจะมี “น้ำหนัก” มิใช่น้อย เช่น การที่รัฐบาลหรือกระทรวงกลาโหมอเมริกัน ต้องเจียดเงินงบประมาณปีละไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ เทียบเท่างบกลาโหมของประเทศขนาดกลางอย่างไอร์แลนด์ทั้งประเทศ ให้กับบรรดาบริษัทที่ปรึกษาด้านนโยบายความมั่นคงของอเมริกา ที่เรียกว่าพวก “Think-Tanks” ทั้งหลาย และบรรดานักคิด-นักวิจัย ในบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำประมาณ 40-50 บริษัทเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือ หรือ “กระหายสงคราม” ไปด้วยกันทั้งสิ้นยกตัวอย่างเช่น บริษัท “RAND Corporation” ที่มีบทบาทสูงสุดในบรรดาบริษัทที่ปรึกษาทั้งหลาย ซึ่งพยายามชี้แนะ ชี้นำ ให้รัฐบาลหรือกองทัพอเมริกัน หาทางสร้างความอ่อนแอให้กับรัสเซียในทุกๆ ด้าน ให้เพิ่มแสนยานุภาพด้านนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ในระยะยาว ให้ติดอาวุธให้กับประเทศยูเครน หรือให้ดึงมาเป็นส่วนหนึ่งของ “นาโต” ให้จงได้ ให้สนับสนุนพวกกบฏในซีเรีย สนับสนุนการเปลี่ยนระบอบการปกครองในเบลารุส ไปจนถึงการลุกฮือของบรรดานักประชาธิปไตยในรัสเซียต่อผู้นำทางการเมืองอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ฯลฯ ฯลฯ เป็นต้น...
อันนี้นี่แหละ...ที่จะทำให้การคิดดี ใฝ่ดี การบรรลุโสดาปฏิมรรค-โสดาปฏิผล ของ “ผู้เฒ่าโจ”กลายเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์จะเป็นไปได้ ภายในอนาคตนับจากนี้ ด้วยเหตุเพราะความเป็น “ลัทธิจักรวรรดินิยม” ของอเมริกา มันเป็นสิ่งที่แทรกซึมลึกลงไปถึงระดับ “โครงสร้าง” ของสถาบันและองค์กรต่างๆ ที่ต่างถูก “ออกแบบ”ให้มุ่งไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียว หรือ “Hegemonic”มาโดยตลอดนั่นเอง แม้ว่าโลกทั้งโลกกำลังเปลี่ยนไปสู่ความเป็น “หลายขั้วอำนาจ” อย่างเห็นได้ถนัดชัดเจนยิ่งเข้าไปทุกที แต่โอกาสที่จะทำให้ “ประมุขโลก” อย่างอเมริกา คิดหันมา “อยู่ร่วมโลกโดยสันติ”กับมหาอำนาจรายอื่นๆ จึงอาจต้องอาศัยการสวดมนต์ภาวนา การอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกทั้งหลาย หรือไม่ก็ต้องรอวัน “ล่มสลาย”ของความเป็นจักรวรรดินิยม แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นกับบรรดาจักรวรรดินิยมในอดีต รายแล้ว รายเล่า มาโดยตลอด...นั่นเอง!!!