xs
xsm
sm
md
lg

อิสรภาพของตะวันออกกลาง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ทหารอเมริกันคนสุดท้ายถือปืนขึ้นเครื่องบินทหารออกจากอัฟกานิสถาน
ก็ถือเป็นอัน “เรียบโร้ยย์ย์ย์” โรงเรียนตอลิบาน โรงเรียนอัฟกานิสถาน ไปตามกำหนด “เส้นตาย” ของการถอนทหารอเมริกันคนสุดท้ายออกจากดินแดนแห่งนี้ ตั้งแต่ช่วงวันอังคารที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยนับจากนี้...จะเกิดอะไรกันต่อไป บรรดาชาวอัฟกันที่ต้องตกอยู่ภายใต้การยึดครองของพวกนักรบตอลิบาน จะต้องเผชิญกับ “ความเหี้ยม” ไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน อันนี้...คงต้องคอยเฝ้าจับตา ติดตามกันไปเป็นระยะๆ...

แต่สำหรับบรรดาอเมริกันชนทั้งหลาย...ที่พยายามเข้าไปพันพัว นัวเนีย อยู่ในดินแดนแห่งนี้มาถึง 2 ทศวรรษเป็นอย่างน้อย ภายหลังการถอนทหารที่เป็นไปในลักษณะ “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน โดยลักษณะอาการดูจะหนักไปทาง “เละ...กับ...เละ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้ เรียกว่า...ถึงขนาดอดีตนายพลเกษียณอเมริกันจำนวนไม่ต่ำกว่า 90 นาย ถึงกับต้องร่วมลงชื่อ เข้าชื่อกันใน “จดหมายเปิดผนึก” เมื่อช่วงวันจันทร์ (30 ส.ค.) เรียกร้องให้รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ “พลเอกลอยด์ ออสติน” (Lloyd Austin) และประธานเสนาธิการ “พลเอกมาร์ค มิลลีย์” (Mark Milley) รีบๆ ตัดสินใจ “ลาออก” ซะโดยดี เพราะอยู่ไปก็อายหมา อายสุนัข เป็นอย่างยิ่ง...อะไรทำนองนั้น!!!

แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าผลแห่งการถอนทหารอเมริกันออกจากดินแดนแห่งนี้ จะเป็นไปในลักษณะเช่นใดต่อไปก็แล้วแต่ สิ่งที่น่าสนใจและคงต้องคอยติดตามกันต่อ ก็คือการถอนทหารอเมริกันคิวถัดไป ออกจากประเทศในตะวันออกกลางอย่างอิรักที่ถูกกำหนดเส้นตายเอาไว้ประมาณสิ้นปีนี้นั่นแล เพราะหลังจากบุกอัฟกานิสถานได้ไม่นาน คุณพ่ออเมริกันท่านก็ตัดสินใจบุกอิรักเป็นรายถัดไป และพันพัว นัวเนียอยู่ในดินแดนแห่งนี้ มาเป็นเวลาไม่น้อยไปกว่าในอัฟกานิสถานมากมายสักเท่าไหร่จนกระทั่งล่าสุด...เหลือทหารอเมริกันอยู่ในอิรักประมาณ 2,500 นายเป็นอย่างน้อย โดยไม่เพียงแต่ต้องถูกรัฐสภาอิรักลงมติเสือกไสไล่ส่งมาโดยตลอด แต่ยังต้องคอยหลบระเบิด หลบจรวด จากกองกำลังไม่ทราบฝ่ายที่พยายามประเคนบ้องข้าวหลามยักษ์ให้รับประทาน ชนิดแทบจะวันละ 3 เวลาหลังอาหาร จนต้องป่าวประกาศว่าจะถอนทหารออกจากดินแดนแห่งนี้ภายในสิ้นปีนี้ เหลืออยู่แต่เพียงผู้ที่จะให้คำปรึกษา ฝึกปรืออบรม และให้การสนับสนุนกองทัพอิรักในการต่อสู้กับพวกผู้ก่อการร้าย ที่เคยยึดดินแดนอิรักและซีเรีย แต่ถูกกองทัพรัสเซีย อิหร่านและเฮซบอลเลาะห์ ร่วมมือกันกวาดซะเกลี้ยงไปจากซีเรียและอิรัก จนต้องเผ่นหนีไปปักหลักที่อัฟกานิสถานกันแทนที่ นั่นแล...

คือไม่ว่าการถอนทหารอเมริกันออกจากอิรัก จะเป็นไปในรูปใด แบบใด ภายในสิ้นปีที่จะถึง แต่สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือบทบาทของประเทศนี้ ภายใต้แนวโน้มที่กองทัพอเมริกันจำต้องลดบทบาทลงไปอย่างมิอาจปฏิเสธ คงต้องยอมรับว่าค่อนข้างน่าทึ่ง น่าประทับใจมิใช่น้อย เช่นการดำรงตนเป็น “เจ้าภาพ” ในการ “ประชุมสุดยอด” บรรดาผู้นำโลกอาหรับ หรือผู้นำโลกอิสลาม เมื่อช่วงวันเสาร์ (28 ส.ค.) ที่ผ่านมา หรืออย่างที่รัฐมนตรีต่างประเทศอิรัก “นายFuad Hussein” และนายกรัฐมนตรี “Mustafa al-Kadhimi” ได้กล่าวเอาไว้อย่างอ่อนน้อม ถ่อมตน นั่นแหละว่า... “ความจริงเราเป็นเพียงผู้พยายามบริหารจัดการเพื่อให้บรรดาประเทศต่างๆ รวมทั้งประเทศที่เคยเป็นคู่แข่งซึ่งกันและกัน มีโอกาสได้นั่งร่วมโต๊ะเดียวกันเพื่อเจรจาหารือถึงปัญหาสำคัญของแต่ละประเทศและของภูมิภาคนั่นเอง” พูดง่ายๆ ว่า...ภายใต้บทบาทที่ลดลงไปของรัฐบาลและกองทัพอเมริกัน ได้ก่อให้เกิดความเป็น “อิสระ” ต่อประเทศอิรักในการที่จะเล่นบทเป็น “ตัวกลาง” ของภูมิภาคทั้งภูมิภาค ได้อย่างสมภาคภูมิเป็นอย่างยิ่ง...

หรือได้ทำให้บรรดาผู้นำอาหรับ ผู้นำโลกอิสลามในประเทศต่างๆ ไม่ว่าประธานาธิบดี “Abdel Fatah al-Sisi” แห่งอียิปต์ “King Abdullah-2” แห่งจอร์แดน “Emir Sheikh Tamim bin Hamad Al-Thani” แห่งกาตาร์ และผู้นำประเทศฝรั่งเศส “นายEmmanuel Macron” รวมไปถึงตัวแทนรัฐบาลคูเวต ยูเออี รัฐมนตรีต่างประเทศตุรกี และที่สำคัญเอามากๆ ก็คือรัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่านคนใหม่ “นายHossein Amirabdollahian” และรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย เจ้าชาย “Faisal bin Farhan Al Saud” ได้มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะ ร่วมจับเข่า จับหัวหน่าว กันเป็นครั้งแรก หลังจากทั้งสองประเทศต้องขบเขี้ยว เคี้ยวฟันกันมานาน หรือหลังจากที่สถานทูตซาอุฯ ในกรุงเตหะราน ถูกบุก ถูกปล้นสะดม โดยบรรดามวลชนชาวอิหร่านผู้คั่งแค้นต่อคำสั่งประหารผู้นำนักบวชชาวชีอะห์ของรัฐบาลซาอุฯ เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2016 จนต้องเกิดการตัดขาดสัมพันธภาพอย่างเป็นทางการมานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

โดยที่การได้มีโอกาสนั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ของอดีต “คู่กัด-คู่อาฆาต” อย่างตัวแทนรัฐบาลซาอุฯ และอิหร่าน จะนำไปสู่อะไรกันต่อ ก็คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบตา แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...แนวโน้มที่จะเกิดการ “เปิดสถานทูตซาอุฯ” ในกรุงเตหะรานขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ส่วนจะนำไปสู่การฟื้นฟูสัมพันธภาพขั้นปกติและอย่างเป็นทางการระหว่าง 2 คู่กัด-คู่อาฆาต แบบไม่ต้องเสียเวลาด่ากันไป-ด่ากันมา หรือปะทะขัดแย้งผ่าน “ตัวแทน” ในลักษณะต่างๆ ไปจนถึงการ “ยุติสงครามเยเมน” ที่สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตกเคยให้การสนับสนุน หรือกระทั่งการ “ถอนทหาร” อเมริกันออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ หรือไม่ อย่างไรนั้น อันนี้...คงต้องคอยติดตามกันไปเป็นลำดับขั้น...

เพราะถ้าว่าไปแล้ว...โดย “เป้าหมาย” แห่งการ “ล้างแค้น-เอาคืน” ต่อกรณีที่ทหารอเมริกันในยุค “ทรัมป์บ้า” ได้ลอบสังหารอดีตนายพลอิหร่าน อย่าง “พลเอกกอเซ็ม สุไลมานี” (Qasem Soleimani) ผู้ที่ถือเป็นวีรบุรุษ เป็นสถาปนิกในการวางแผนต่อสู้กับกองทัพและรัฐบาลอเมริกันในตะวันออกกลางมาโดยตลอดนั้น ทางฝ่ายอิหร่านเขาได้ตั้งเป้า ตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ถึงขั้น...ต้องหาทางทำให้ “ทหารอเมริกัน” ทั้งมวล ไม่เหลือติดอยู่ในภูมิภาคตะวันออกกลางแม้แต่รายเดียว เอาเลยถึงขั้นนั้นหรือทำให้บรรดาประเทศโลกอาหรับ โลกอิสลามทั้งหลาย สามารถบรรลุความร่วมมือในการสร้างเสถียรภาพและสันติภาพโดยไม่จำเป็นต้องไปดึงเอามหาอำนาจสูงสุดแห่งโลก อย่างคุณพ่ออเมริกาเข้ามาเกี่ยวข้องไม่ว่าทางใด-ทางหนึ่งเอาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้น...การเริ่มต้นนั่งโต๊ะเจรจาเดียวกัน ระหว่าง 2 พี่เบิ้มใหญ่แห่งตะวันออกกลาง อย่างอิหร่านและซาอุฯ ที่กำลังจะนำไปสู่การเจรจาลดความตึงเครียดและข้อขัดแย้งต่างๆอย่างเป็นทางการ โดยมีประเทศที่กำลังพยายามถอนทหารอเมริกันออกไปจากประเทศตัวเองให้หมดสิ้น หมดซากกันไปซะที อย่างประเทศ “อิรัก” รับอาสาเป็น “ตัวกลาง” อย่างขมีขมัน เช่นนี้ ย่อมต้องถือเป็นสิ่งที่น่าทึ่งและน่าประทับใจเอามากๆ...

หรืออย่างที่ผู้นำฝรั่งเศส...ที่ถือเป็นชาติยุโรปชาติเดียวซึ่งได้รับเชิญให้เข้ามาร่วมประชุมสุดยอดคราวนี้ ได้แสดงความรู้สึกต่อบรรดาสื่อมวลชนทั้งหลาย เอาไว้เมื่อช่วงวันเสาร์ (28 ส.ค.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “การประชุมสุดยอดครั้งนี้ ถือเป็นการแสดงให้ชาวโลกทั้งหลายได้เห็นว่า อิรักได้กลับคืนมาสู่เสถียรภาพและความเป็นเอกภาพภายในประเทศ หลังจากได้เกิดการกวาดล้างพวกผู้ก่อการร้าย ISIL ได้สำเร็จเรียบร้อยแล้ว...” หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าใครก็เถอะ จะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกวาดล้างพวกผู้ก่อการร้าย ให้หมดไปจากดินแดนซีเรีย อิรัก จนต้องเผ่นไปตั้งหลักแถวๆอัฟกานิสถานโน่นเลย หรือจนกองทัพอเมริกันแทบไม่หลงเหลือ “เหตุผลและข้ออ้าง” ในการดำรงกองทหาร อยู่ภายในประเทศนี้อีกต่อไป ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิด “เสถียรภาพ” และ “เอกภาพ” ขึ้นมาภายในประเทศนี้เท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิด “อิสรภาพ” ในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ได้อย่างสมศักดิ์ศรี สมกับความเป็น “ประเทศเอกราช” อันเป็นสิ่งพึงปรารถนาของผู้ที่พยายามดำรงรักษา “ความเป็นชาติ” ของตัวเอง ไม่ให้ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของชาติหนึ่ง-ชาติใด ไม่ว่าจะชาติมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร เพียงใดก็ตามที...




กำลังโหลดความคิดเห็น