ไหนๆ...ก็เริ่มต้นด้วยเรื่อง “ความพยายามยุติสงคราม” ของผู้นำอเมริกันรายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ตั้งแต่เริ่มเปิดฉากช่วงสัปดาห์นี้ โดยไม่ว่าจะถือเป็นการ “แก้ตัว” จากกรณีการหนียะย่าย พ่ายจะแจของทหารอเมริกันในอัฟกานิสถาน หรือจะถือเป็นการ “แก้ปัญหา” ให้กับบรรดาลูกหลานชาวอเมริกันที่ถูกส่งไปตาย ณ ที่โน่น ที่นี่ อันเนื่องมาจากความพยายามดำรงตนเป็น “ตำรวจโลก” หรือ “ประมุขโลก” ของคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด ดังนั้น...วันนี้ น่าจะลองหันไปดู “ปฏิกิริยา” ของบรรดา “พันธมิตรอเมริกา” ทั้งหลาย ว่าจะรู้สึกโหวงๆ เหวงๆ หรือยังพออุ่นอก-อุ่นใจ หรือไม่? อย่างไร? ต่อบทบาทและท่าทีของรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ ซึ่งทำท่าว่าอาจกำลังเป็นไปในแนวนี้....
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...เผอิญช่วงระหว่างนี้ มันดันมี “ข่าวล่า-มาเรือ” ที่ถูกนำมาพูดจากันไป-กันมา ในประเทศพันธมิตรรายสำคัญที่ซี้แหง-ย่ำปึ้กกันมานานของคุณพ่ออเมริกาในภูมิภาคตะวันออกกลาง อย่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย นั่นก็คือการที่กองทัพอเมริกันคิดจะถอดถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศ ระดับ “Patriot Batteries” ซึ่งเคยติดตั้งเอาไว้ในดินแดนแห่งนี้ ภายในอีกช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ด้วยเหตุผล-กลใดก็ยากที่จะอธิบาย หรือยากที่จะทำความเข้าใจได้แบบชัดๆ จะจะ เพราะ ณ ช่วงก่อนหน้านี้ ระหว่างนี้ หรือแม้แต่หลังจากนี้ คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นสนามบิน ฐานบัญชาการทหาร คลังน้ำมันต่างๆ ฯลฯ ที่อยู่ภายในดินแดนซาอุฯ นั้น มักต้องตกเป็น “เป้าหมาย” เป็น “ตำบลกระสุนตก” ของจรวด ไม่ก็เครื่องบินโดรนของ “ฝ่ายตรงข้าม” ไม่ว่าจะเป็นพวก “กบฏฮูตี” หรือประเทศคู่กัดอย่าง “อิหร่าน” อันนั้น...คงต้องไปสืบหากันเอาเองก็แล้วกัน...
ดังนั้น...ถ้าดันไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศ ที่มีประสิทธิภาพ มีศักยภาพ ระดับ “Patriot” เอาไว้ปกป้องตัวเอง มันจะก่อให้เกิดอาการโหวงๆ เหวงๆ ไปถึงขั้นไหน ก็ยากที่จะสรุปได้ชัดเจน เพราะถ้าฟังจากถ้อยแถลงของโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ “นายJohn Kirby” ที่ได้ออกมาชี้แจง อธิบาย ถึง... “จำนวนทหารอเมริกันที่ยังคงดำรงอยู่ในคาบสมุทรอาหรับนับเป็นหมื่นๆ อีกทั้งยังมีศักยภาพและขีดความสามารถทั้งด้านกำลังทางอากาศและทางเรือ ในอันที่จะสนับสนุนผลประโยชน์ของเราและพันธมิตรต่อไป...” ไปจนถึงคำแถลงการณ์ของกระทรวงกลาโหมซาอุฯ ที่ยังคงยืนยันถึงสัมพันธภาพอันแน่นเหนียวระหว่างราชอาณาจักรซาอุฯ กับสหรัฐฯ มาโดยตลอดประวัติศาสตร์ อันทำให้ “พอเข้าใจได้” ถึงความจำเป็นในการ “สับเปลี่ยนขีดความสามารถการป้องกันบางส่วนของพันธมิตรของเราออกจากภูมิภาคนี้” หรืออาจถือเป็นการบริหาร-จัดการทางยุทธศาสตร์ซะใหม่ เพื่อให้เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพการณ์อะไรทำนองนั้น แถมยังพร้อมคุยใหญ่ คุยโต ว่า “กองทัพซาอุฯ มีขีดความสามารถเพียงพอในการป้องกันดินแดนตัวเอง ไม่ว่าในทางทะเล น่านฟ้า รวมทั้งผู้คนพลเมืองทั้งหลาย” จากถ้อยคำดังกล่าว...เลยคงไม่ถึงกับต้องเก็บมาคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย อะไรกันมากมาย...
แต่สำหรับ...อดีตผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองของซาอุฯ ที่ได้ชื่อว่ายังทรงอิทธิพลอยู่ในบรรดาสมาชิกราชวงศ์ “อัล ซาอุด” มิใช่น้อย เช่น เจ้าชาย “Turki Al-Faisal” จะด้วยเหตุเพราะคิดมาก หรือคิดเล็ก-คิดน้อย หรือไม่ อย่างไรก็แล้วแต่ แต่จากการให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ “CNBC” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ถึงขั้นว่า “การถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศ Patriot ออกจากซาอุฯ ในช่วงที่เรากำลังตกเป็นเหยื่อของจรวดและเครื่องบินโดรน ไม่ใช่แต่เฉพาะจากเยเมนเท่านั้น แต่จากอิหร่านด้วยซ้ำ” ทำให้... “ข้าพเจ้าคิดว่าถึงเวลาแล้ว ที่เราควรขอความมั่นใจอีกครั้งจากอเมริกา ในข้อตกลงต่างๆ ที่ได้เคยทำเอาไว้” อันนี้ต้องเรียกว่า...น่าจะออกอาการโหวงๆ เหวงๆ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน!!!
โดยจะเป็นเพราะความน่าเกลียด น่ากลัว น่าสยดสยอง ของมกุฎราชการอย่างเจ้าชาย “MbS” ในกรณีการฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ที่เคยทำให้บรรดานักการเมืองโดยเฉพาะพรรคเดโมแครตในอเมริกา ออกจะรังเกียจ รังงอน ต่อราชอาณาจักรแห่งนี้เพิ่มขึ้นๆ ในระยะหลัง หรือจะเป็นเพราะข่าวล่า-มาเรือ ข่าวลึก ข่าวลับ หรือข่าวปล่อย เรื่องซาอุฯ คิดจะหันไปเจรจากับศัตรูคู่กัดอย่างอิหร่าน ไปจนถึงการคบค้าสมาคมกับรัสเซียใกล้ชิดยิ่งขึ้น หรือไม่ อย่างไร ก็ตามที แต่นอกเหนือไปจากข่าวการถอนระบบป้องกันภัยทางอากาศ “Patriot” ออกจากซาอุดีอาระเบียแล้ว ในการเดินทางมาเยือนภูมิภาคตะวันออกกลางของรัฐมนตรีกลาโหมอเมริกา “พลเอกLloyd Austin” ระหว่างนี้ ก็ออกจะ “แปลก” อยู่ไม่น้อย ที่ได้เกิดการยกเลิกกำหนดการเยือนราชอาณาจักรซาอุฯ ด้วยเหตุผลกลใดก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน แต่ก็นั่นแหละ...ด้วยลักษณะอาการดังกล่าว เลยทำให้นักวิเคราะห์ วิจัย ด้านนโยบายสาธารณะ จากสถาบัน “James A. Baker” แห่งมหาวิทยาลัย “Rice” อย่าง “นายKristian Ulrichsen” อดไม่ได้ที่จะต้องสรุปเอาไว้แบบดื้อๆ ทื่อๆ ประมาณว่า จากคำชี้แจงของผู้นำอเมริกันอย่างประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ในกรณีการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ถือเป็นการแสดงให้เห็นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่า...ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นอันดับแรก หรือไม่ต่างอะไรไปจากนโยบาย “America First” ของอดีตประธานาธิบดีคนเก่านั่นเอง...
อย่างไรก็ตาม...สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สำหรับ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกาอย่างอิสราเอล นอกจากไม่ได้ออกอาการโหวงๆ เหวงๆใดๆ ให้เห็น ยังกลับหนักไปทาง “กระเหี้ยนกระหือรือ” อย่างเป็นพิเศษ ดังเห็นได้จากคำพูด คำจา ของรัฐมนตรีกลาโหมคนใหม่ นายพล “Benny Gantz” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (12 ก.ย.) ที่ผ่านมา ขณะไปบรรยาย อภิปราย ณ สถาบัน “ICT” หรือ “The International Institute for Counter-Terrorism” ที่ได้หยิบยกเอากรณีการฝึกปรือ อบรมและการถ่ายทอดเทคโนโลยีของอิหร่าน ต่อบรรดา “ตัวแทนแห่งการก่อการร้าย” (Proxy Terror) อันประกอบไปด้วยผู้คนในประเทศเยเมน อิรัก เลบานอน ซีเรีย ไปจนถึงชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา โดยใช้ฐานบัญชาการ “Kashan” ด้านเหนือของกรุง “Isfahan” เป็นสถานที่ฝึกอบรมกันโดยเฉพาะ อีกทั้งยังพยายามส่งมอบอาวุธชนิดนี้ ไม่ว่าจรวดหรือเครื่องบินโดรนที่มีรัศมีทำการได้ไกลถึง 1,700 กิโลเมตร ให้กับ “กองกำลังไม่ทราบฝ่าย” ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อเอาไว้โจมตีกองทหารอเมริกัน ซาอุฯ และอิสราเอล แบบครั้งแล้ว ครั้งเล่า มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้นี่เอง...รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอลรายนี้ จึงสรุปเอาไว้ในคำบรรยาย ด้วยคำพูดประโยคที่ว่า... “ถึงเวลาแล้ว...สำหรับปฏิบัติการตอบโต้เอาคืนอิหร่าน” ไม่ว่าจะด้วยวิธีการแซงชั่น หรือการกระทำการใดๆ ก็แล้วแต่...
พูดง่ายๆ ก็คือ...ภายใต้ท่าทีที่เอาแน่-เอานอนไม่ค่อยจะได้ของคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าในกรณีการเปิดโต๊ะเจรจากับอิหร่านในเรื่อง “ข้อตกลงนิวเคลียร์” ที่กรุงเวียนนา ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะออกหัว ออกก้อย ออกแล้วจะเป็นผลดี-ผลร้าย ต่อพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลมาก-น้อยขนาดไหน กรณีการปกป้อง คุ้มครอง พันธมิตรในตะวันออกกลางอย่างซาอุดีอาระเบีย ไปจนถึงกรณีการถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน โดยทิ้ง “ขี้” ให้บรรดาชาวโลกทั้งหลายต้องตามล้าง ตามเช็ดเอาเองกันไปเป็นรายๆ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...กลับยิ่งกลายเป็นตัวสร้างแรงฮึด แรงกระตุ้น ให้พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอล อาจถึงขึ้นคิดจะ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้!!! ไม่ได้นำไปสู่ความพยายามที่จะ “ยุติสงคราม” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย จะด้วยเหตุเพราะทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งไปสู่ “ตัวกู-ของกู” มุ่งไปสู่ผลประโยชน์ของตัวกูเอง หรือของ “America First” หรือไม่ อย่างไร คงต้องไปคิดๆ กันเอาเองก็แล้วกัน...