ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องพยายามไปควานหาเรื่องราวที่มันออกไปทางสดใส ซาบซ่าเอาไว้สักหน่อย แต่ก็นั่นแหละ...อาจด้วยเหตุเพราะถ้าไล่มาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ เรื่องของการ “หนียะย่าย พ่ายจะแจ” การถอนทหารของคุณพ่ออเมริกาออกจากประเทศอัฟกานิสถาน ก็ยังหามุมจบ หาจุดลงตัวยังไม่เจอ ว่าจะ “ถอน” แบบไหน มันถึงจะไม่เจ็บปวดรวดร้าวไปกว่านี้ จะ “ขยุ้ม” ใครต่อใครออกมาให้ทัน “เส้นตาย” ที่พวก “ตอลิบาน” ขีดเอาไว้หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจสรุปได้ ด้วยเหตุนี้...ไหนๆ ก็ไหนๆ ลองหันมา “เปลี่ยนบรรยากาศ” ด้วยการมองอะไรที่ออกไปทางสวยๆ ออกไปทางมองโลกในแง่ดีสำหรับดินแดนแห่งนี้เอาไว้มั่ง ก็ไม่น่าจะถึงกับ “แปลกแยก” อะไรกันมากมาย...
คือพื้นที่อาณาบริเวณที่ถือเป็นประเทศอัฟกานิสถานในทุกวันนี้...แม้จะเป็นอะไรที่จนแสนจนมาโดยตลอด แถมยังขึ้นชื่อในความเหี้ยมเกรียม อำมหิต โดยเฉพาะภายใต้เงื้อมมือของบรรดาพวกนักรบที่ค่อนข้างถนัดในการ “ก่อการร้าย” หรือพวก “มุสลิมสุดโต่ง” อย่างพวก “ตอลิบาน” ที่ไม่เพียงแต่พร้อม “รบ” กับใครต่อใครด้วยกันทั้งนั้น เรียกว่า...ตั้งแต่ยุค “พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช” โน่นเลย มาจนถึงจักรวรรดินิยมอังกฤษ จักรวรรดิสังคมนิยมโซเวียตรัสเซีย ไปจนถึงจักรวรรดินิยมอเมริกา ฯลฯ ซึ่งนอกเหนือไปจากมหาราชชาวกรีกแล้ว ก็มีแต่ “แพ้...กับ...แพ้” ต่อบรรดานักรบอัฟกันไปด้วยกันทั้งนั้น แถมยังพร้อมจะมี “ปัญหา” กับประเทศยักษ์ใหญ่ใกล้บ้าน อย่างระดับคุณพี่จีน หรือคุณปู่อินตะระเดีย อันเนื่องมาจากความพยายามส่งเสริมและสนับสนุน พวก “ผู้ก่อการร้าย” หรือบรรดาพวก “มุสลิมสายเคร่ง” ด้วยกัน ไปจนถึงแม้แต่บรรดาพระๆ เจ้าๆ หรือเทวรูป พระพุทธรูป ที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อะไรด้วยเลย ยังต้องถูกรบราฆ่าฟัน ถูกล้างผลาญ ทำลายระเบิดออกมาเป็นชิ้นๆ ฯลฯ จนอาจเป็นเหตุให้ต้องตกอยู่ในสภาพ “ยิ่งเหี้ยม...ยิ่งจน” มาโดยตลอด อะไรทำนองนั้น...
ทั้งๆ ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ภายใต้ขุนเขาอันสูงตระหง่าน หรือพื้นแผ่นดินที่อาจแห้งผากอยู่สักหน่อย แต่บรรดา “ทรัพย์ในดิน” หรือบรรดาสินแร่ที่อยู่ลึกลงไปภายในอาณาบริเวณพื้นที่แห่งนี้ น่าจะทำให้ประเทศเล็กๆ ที่แม้ไม่มีทางออกทางทะเลแห่งนี้ สามารถ “รวยเช็ด” หรือ “รวยไม่เสร็จ” โดยไม่จำเป็นต้อง “ปลูกมะเขือ” ใดๆ เอาเลยก็ว่าได้ เพราะไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่น้ำมันและแก๊ส แร่เหล็ก แร่ทองแดง ทองคำ สังกะสี ซัลเฟอร์ แร่แบไรท์ ลิเธียม ยูเรเนียม ไปจนถึงแร่ชนิดหายากเอามากๆ และถือเป็น “หัวใจสำคัญ” ของ “เศรษฐกิจดิจิทัล” ที่กำลังมาแรงแซงโค้งในทุกวันนี้ ไปจนอีกไม่รู้กี่ต่อกี่สิบปีในอนาคตเบื้องหน้า นั่นก็คือ “Rare Earth” ฯลฯ ที่กองสุมอยู่ภายใต้ผืนดินของประเทศอัฟกานิสถาน จนหน่วยงานด้านการสำรวจแร่ธาตุของอเมริกา คือ “US Geological Survey” หรือ “USGS” เคยตีราคาเอาไว้เมื่อช่วงเกือบ 20 ปีที่ผ่านมา ว่าน่าจะมีมูลค่าไม่น้อยไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือ 30 ล้านล้านบาทเป็นอย่างน้อย...
และนั่นยังไม่รวมไปถึงมูลค่าของสินแร่ที่เริ่มมีคุณค่าราคาเอามากๆ ในช่วงหลังๆ อย่าง “ลิเธียม” ที่ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญของ “แบตเตอรี่รถไฟฟ้า” ซึ่งจะเข้ามาแทนที่บรรดารถที่ใช้น้ำมันกันไประดับทั่วทั้งโลก ในอีกไม่นาน-ไม่ช้า หรือที่เคยทำให้ “นายอีลอน มัสก์” เจ้าของบริษัทรถยนต์ไฟฟ้า “Tesla” ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2003-2004 หลังจากอเมริกาบุกอัฟกานิสถานไปแล้วปี-สองปี เคยคิดๆ ที่จะก่อการปฏิวัติรัฐบาลโบลิเวีย ที่มีสินแร่ชนิดนี้เอาไว้มิใช่น้อย หรือไม่ อย่างไร ก็ยังไม่ถึงกับชัดเจน เช่นเดียวกับ “Rare Earth” ที่ว่ากันว่าเฉพาะจังหวัด “Helmand” ในประเทศอัฟกานิสถานแห่งเดียวเท่านั้น มีแร่ชนิดนี้กองอยู่ใต้ผืนดินไม่ต่ำกว่า 1 ล้านตันเป็นอย่างน้อย น้ำมันและแก๊สก็มีอยู่ทางภาคเหนือไม่น้อยกว่า 2,900 ล้านบาร์เรล และ 15.71 ล้านล้านคิวบิกฟุต ฯลฯ นี่ถ้าว่ากันตามการประเมินของ “USGS” เมื่อช่วงปี ค.ศ. 2006 แต่สำหรับรัฐบาลอัฟกันยุคก่อนๆ เคยประเมินว่าน่าจะสูงกว่าที่ “USGS” คาดเอาไว้ถึง 3 เท่า เอาเลยถึงขั้นนั้น จริง-ไม่จริง...ก็คงต้องรอการ “สำรวจ” กันอีกที แต่ถ้าว่ากันตามสายตาของนักเศรษฐกิจ ธุรกิจ อย่างเช่น “นายMichael E. O’Hanlon” แห่งสถาบัน “Brooking Institution” ที่เคยสรุปเอาไว้สั้นๆ ว่า โดยบรรดาสินแร่ใต้ดินภายในอัฟกานิสถานนั้น สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่น้อยไปกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์ในแต่ละปี หรือสามารถทำให้ตัวเลขจีดีพีของดินแดนแห่งนี้ เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าของปัจจุบันได้แบบเบิร์ดๆ สบายๆ...
แต่ก็นั่นแหละ...การจะเข้าไปสำรวจอะไรต่อมิอะไรในดินแดนแห่งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ด้วยเหตุเพราะ “ความเหี้ยม” ของพวกนักรบอัฟกันในแต่ละราย โดยเฉพาะพวก “ตอลิบาน” ที่ไม่คิดจะสุงสิงกับใครนอกเสียจากพวก “มุสลิมสุดโต่ง” ด้วยกัน และนั่นเองที่ทำให้กระทั่งบริษัทธุรกิจด้านโลหะของจีน อย่างบริษัท “MCC” หรือ “Metallurgical Corp of China Ltd.” ที่อุตส่าห์ควักเงินลงทุนจำนวนถึง 3,000 ล้านดอลลาร์ ชนิดถือเป็นการลงทุนครั้งสูงสุดในประวัติศาสตร์อัฟกานิสถานเอาเลยก็ว่าได้ เพื่อสำรวจแหล่งแร่ทองแดงที่ “Mes Aynak” ใกล้ๆ กับกรุงคาบูล ตามสัมปทานที่ได้รับจากรัฐบาลชุดก่อนๆ เลยยังไม่สามารถไปไหนต่อไปไหนได้เลยจน ณ ขณะนี้ เพราะบรรดาวิศวกรชาวจีนจำนวนไม่น้อย ต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง เพราะลูกหลง เพราะระเบิด หรือเพราะอะไรต่อมิอะไรจนทำให้เดินหน้าต่อไป ได้ลำบาก ยากเย็นเต็มที...
แต่ด้วยเหตุที่ศัตรูรายสำคัญของพวก “ตอลิบาน” ในช่วงนี้....คงไม่ได้เกี่ยวกับชาวจีน หรือแม้กระทั่งชาวรัสเซียที่เคยบุกรุกประเทศตัวเองอีกต่อไป แต่หนักไปทางคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกนั่นแหละเป็นสำคัญ ที่แม้ไม่ได้มีทหารอเมริกันหรือทหารนาโตรายใดต่อไปอีกแล้วในประเทศนี้ แต่โอกาสที่จะเกิดการหันไปใช้ “เศรษฐกิจ” เป็นเครื่องมือ ในการบีบบังคับให้รัฐบาลอัฟกานิสถานยุคใหม่ ต้องทำอะไรต่อมิอะไรตามที่ตัวเองปรารถนาและต้องการย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆเช่นการ “แช่แข็ง” เงินทุนสำรองของประเทศอัฟกานิสถานจำนวน 9,500 ล้าน เอาไว้ในช่วงนี้ หรือยุติชะลอเงินกู้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ จำนวนประมาณ 500 ล้าน ที่จะให้กับประเทศนี้ นั่นยังไม่รวมไปถึงการคิดจะ “แซงชั่น” โน่นๆ นี่ๆ ถ้าหากพวก “ตอลิบาน” ยังไม่คิดจะลดความเหี้ยม ไม่คิดส่งเสริมสิทธิสตรี หรือคิดจับใครต่อใครไปตัดหัว คั่วแห้ง เหมือนอย่างเท่าที่เคยเป็นมา...
ดังนั้น...จะโดยแรงกดดันจากนอกประเทศ หรือในประเทศก็แล้วแต่ บรรดาพวกนักรบ “ตอลิบาน” ยุคใหม่ ก็เลยทำท่าว่าอาจลดความเหี้ยมลงมามั่ง เช่นประกาศว่าจะพยายามไม่กดขี่บังคับใครต่อใครเหมือนเดิมอีกต่อไป จะส่งเสริมสิทธิสตรีตามหลักกฎหมายอิสลาม รวมทั้งไม่ยอมให้ใครใช้ดินแดนอัฟกานิสถานไปเล่นงานผู้อื่น ฯลฯ หรือพยายามหาทาง “อยู่ร่วมโลก” กับใครต่อใครให้จงได้ และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ผู้ที่ “ตอลิบาน” พอที่จะอยู่ร่วมโลกได้ค่อนข้างสบายๆ กว่าคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ย่อมหนีไม่พ้นคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียนั่นเอง โดยจะร่วมกันได้แบบปลอดโปร่งโล่งใจไปตลอด หรือไม่ อย่างไร ก็น่าจะเป็นไปอย่างที่โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน “นายHua Chunying” ได้สรุปเอาไว้ด้วยภาษาแบบนิยายกำลังภายใน อะไรทำนองนั้น นั่นคือ... “ไม่มีอะไรที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดชั่วนิรันดร์กาล ดังนั้น...เราคงต้องมองอดีต ปัจจุบัน ต้องฟังคำพูดและการกระทำไปเป็นขั้นเป็นตอน...”
อย่างไรก็ตาม...ถ้าหากพวก “ตอลิบาน” จำต้องลดความเหี้ยม เพราะแรงกดดันจากคุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรตะวันตกเป็นสำคัญ ความจำเป็นที่จะต้องหันไป “ซบอก” จีนและรัสเซีย จึงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้โดยเด็ดขาด และนั่นเองที่อาจทำให้ “ความพ่ายแพ้” ของอเมริกาและตะวันตก ไม่ใช่มีแต่แค่เฉพาะภายในดินแดนแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังอาจไปไกลถึงขั้นอาจต้องตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ (โดยเฉพาะในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล) ไปจนการมง การเมือง หรือกระทั่งการทหาร ไปโน่นเลย...