xs
xsm
sm
md
lg

ยุโรป...กับการหวนกลับสู่ยุคน้ำมันราคาแพง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ชาวอังกฤษแห่เติมน้ำมันรถยนต์
วันนี้...สงสัยคงต้องลองแวะไปดูแถวๆ ประเทศอดีตจักรวรรดินิยม “อังกฤษ” อดีต “จักรวรรดิที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” น่าจะเหมาะกว่า เข้าท่ากว่า ในฐานะประเทศที่ค่อนข้างเก่ง ค่อนข้างเชี่ยวชาญเอาเรื่อง ในแง่ของการ “ยั่วยวนกวนส้นตีน” บ้านอื่น เมืองอื่น ประเทศอื่นๆ เช่นการส่งเรือรบเข้าไปป้วนๆ-เปี้ยนๆ แถบช่องแคบไต้หวัน เมื่อวัน-สองวันนี้ ชนิดเล่นเอาประเทศคุณพี่จีน ถึงกับออกอาการ “เม้งแตก” หวิดๆ จะลงมือ ลงตีน กันและกัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!

แต่ก็อย่างว่า...หลังๆ นี้ หรือหลังจากเสื่อมโทรม ทรุดโทรม จนแทบไม่เหลือความเป็น “จักรวรรดินิยม” อย่างในอดีตต่อไปอีกแล้ว การคิดแต่จะยั่วยวนกวนส้นตีนผู้อื่น โดยไม่ได้หันมามองความเป็นไปภายในประเทศตัวเอง ให้ชัดๆ จะจะแจ้งๆ มันเลยก่อให้เกิดการหันมาลงมือ ลงตีนกันเอง ของบรรดาชาว “ผู้ดีอังกฤษ” ชนิดกลายเป็นข่าวใหญ่ ข่าวโต เป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดความ “เสียหน้า” และ “เสียหมา” มิใช่น้อย เช่น การไล่ถีบ ไล่กระทืบ ไล่กันแย่งซื้อ แย่งเติม “น้ำมัน” จากปั๊มต่างๆ ที่แทบไม่เหลือน้ำมันติดปั๊ม ระดับเกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ทั่วประเทศ...

คือการที่ปั๊มน้ำมันต่างๆ ทั่วทั้งเกาะอังกฤษ เกิดภาวะ “ขาดแคลน” น้ำมันขึ้นมาซะดื้อๆ!!! ออกจะมีความเกี่ยวข้องกับหลายต่อหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องผลพวงของ “Brexit” หรือความพยายามแยกตัวเองออกมาจากความเป็นส่วนหนึ่งของประเทศสหภาพยุโรป อันเนื่องมาจากความทะนง องอาจ แห่งความเป็น “ผู้ดีอังกฤษ” ทั้งๆ ที่อาจต้องหันไป “ดมก้นอเมริกา” หนักยิ่งขึ้นไปอีก อะไรทำนองนั้น อันส่งผลให้ชาวยุโรปที่คิดจะเข้าไปทำงานในประเทศอังกฤษ เช่นพวกที่ขับรถบรรทุกสินค้าต่างๆทั้งหลาย รวมทั้งสินค้า “น้ำมัน” ค่อนข้างอึดอัด ขัดข้องใจ มิใช่น้อย ยิ่งมีเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ผสมโรงเข้ามาอีกด้วย ที่ทำให้มีการตรวจนั่น ตรวจนี่ เช็กโน่น เช็กนี่ สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้า ให้กับบรรดาคนขับรถส่งน้ำมันชาวยุโรปไปยังประเทศอังกฤษนับแสนๆ คน หรือแสนๆ คัน ถึงขั้นไม่คิดจะขับไปส่งซะยังงั้น บรรดาปั๊มน้ำมันต่างๆ ในอังกฤษ จึงมีอันต้องแห้งแหงแก๋ไปด้วยประการละฉะนี้...

ส่งผลให้พวก “ผู้ดีอังกฤษ” เปลี่ยนสภาพ กลายพันธุ์ ไปเป็น “ผู้ร้าย” ไปเป็นแถบๆ ไล่ทุบ ไล่ถีบ ไล่กระทืบ เพื่อแย่งซื้อน้ำมันขนขวด ขนถัง มารองน้ำมันเก็บกักเอาไว้สำหรับตัวเอง จนราคาน้ำมันในอังกฤษพุ่งขึ้นไปถึง 1.366 ปอนด์ หรือ 1.86 ดอลลาร์ต่อลิตร หรือสูงสุดในรอบ 8 ปีที่ผ่านมาเอาเลยก็ว่าได้ ขณะที่รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีหัวกระเซิง “นายบอริส จอห์สัน” ที่แทบไม่ได้เตรียมการใดๆ ล่วงหน้าเอาไว้เลย แม้ “รัฐมนตรีเงา” ของพรรคแรงงาน อย่าง “นายNick Thomas-Symonds” จะเคยเขียนจดหมายแจ้งเตือนถึงแนวโน้มที่จะเกิดสถานการณ์ทำนองนี้ ไปตั้งแต่ 2 เดือนที่แล้ว ก็เลยถึงขั้นต้องหันระดม “ทหาร” แทบทั้งกองทัพ ให้เตรียมมาขับรถบรรทุก ขับรถส่งน้ำมันไปตามปั๊มต่างๆ ก่อนที่ “ผู้ดีอังกฤษ” จะกลายสภาพเป็น “ผู้ร้าย” กันไปทั่วทั้งประเทศ...

ส่วนการคิดจะแก้ปัญหาด้วยการ ออก “วีซ่าชั่วคราว” ให้กับบรรดาคนขับรถบรรทุก การผ่อนคลายความเข้มงวดในการตรวจโน่น ตรวจนี่ ไปจนถึงการลดค่าธรรมเนียมในการขนส่ง การเข้ามาทำงานในประเทศอังกฤษ ฯลฯ นั้น จะช่วยคลี่คลายปัญหาดังกล่าวลงไปได้หรือไม่ อย่างไร ก็คงคอยติดตามกันดูอีกที เพราะถ้าฟังเสียง จากตัวแทนสหภาพแรงงานชาวยุโรปอย่าง “Federation of Dutch Trade Unions” หรือ “FNV” เช่น “นายEdwin Atema” ที่ถึงกับบอกไว้ว่า “คนขับรถบรรทุกในยุโรป ไม่ต้องการเข้าไปช่วยประเทศนี้ ให้หลุดพ้นออกจาก...หลุมขี้...อีกต่อไปแล้ว!!!” เพราะบรรดาปัญหาต่างๆ เป็นปัญหาที่ชาวอังกฤษสร้างขึ้นมาเอง โดยเฉพาะจากกรณี “Brexit” ที่มันคงไม่ใช่แค่ปัญหา “วีซ่า” การเข้าไปทำงานในอังกฤษเท่านั้น หรืออย่างที่ “Marco Digioia” เลขาธิการทั่วไปแห่งสมาคม “European Road Haulers Association” หรือ “UETR” สรุปเอาไว้ว่า ยังมีอีกหลายต่อหลายปัญหา ไม่ว่าเงื่อนไขการทำงาน การจ่ายค่าตอบแทน ต้นทุนการขนส่ง ฯลฯ ที่ประเทศนี้ยังหา “จุดลงตัว” แทบไม่ได้...

สรุปรวมความแล้ว...การหันไปมุ่ง “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ผู้อื่น โดยไม่ได้คิดสำรวจตรวจสอบ ความเป็นตัวของตัวเอง ให้ลึกๆ ให้ชัดๆ แจ้งๆ นั่นแหละ คือที่มาของ “ปัญหา” อันสุดแสนจะชุลมุน ชุลเก ในเกาะอังกฤษทุกวันนี้ ซึ่งอาจไม่ต่างไปจากบรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย ที่กำลังต้องเจอกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ไม่ว่าน้ำมันและแก๊ส ตลอดไปจนถึงถ่านหิน ฯลฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกทุกวันนี้ เด้งดึ๋งๆ พุ่งขึ้นไปถึงกว่า 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรือสูงสุดนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 เป็นต้นมา “Brent Crude Oil” นั้น ปาเข้าไปถึง 80.35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อช่วงวันอังคาร (28 ก.ย.) ที่ผ่านมา ขณะตลาด “West Texas Intermediate” อยู่ที่ 76.09 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาแก๊สธรรมชาติตามตัวเลขของ “ICE” หรือ “Intercontinental Exchange” ขึ้นไปถึงระดับ 1,000 ดอลลาร์ ต่อ 1,000 คิวบิกเมตร ช่วงวันอังคารที่ผ่านมาเช่นกัน...

แต่ความแพงของราคาพลังงานในยุโรปช่วงนี้...อาจไม่ได้เกี่ยวกับความซ่าส์ส์ส์ ความกร่าง แบบเดียวกับพวก “ผู้ดีอังกฤษ” แต่อย่างใด แต่อาจเป็นเพราะ “ความปรารถนาดี” ที่อยากจะลดมลพิษ มลภาวะ การสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศ จนทำให้บรรดารัฐบาลในยุโรปทั้งหลาย พยายามหันไปปรับเปลี่ยนกระบวนการการใช้พลังงานในระยะยาว หรือหันไปใช้พลังงานหมุนเวียนที่ไม่ใช่บรรดา “พลังงานฟอสซิล” ทั้งหลาย แนวโน้มปริมาณการผลิตพลังงานประเภทน้ำมันและแก๊ส ไปจนถึงการใช้ถ่านหิน มันจึงต้องลดลงๆ โดยธรรมชาติ หรือโดยหลัก “อุปสงค์-อุปทาน” นั่นแล รวมทั้งการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ร่วมปี-สองปีมาแล้ว ก็กลายเป็นตัวกดดันกระบวนการผลิตพลังงานชนิดนี้ไปโดยปริยาย ดังนั้น...เมื่อต้องเจอกับ “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” อันเนื่องมาจากการมาถึงของช่วงฤดูหนาวคราวนี้ “ความไม่ลงตัว” ในรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว มันเลยส่งผลให้กลายเป็น “ความขาดแคลน” ต่อการสรรหาพลังงานชนิดนี้ขึ้นมาจนได้ หรือกลายเป็น “ปัญหาชั่วคราว” ที่บรรดาประเทศในยุโรปทั้งหลาย ต้องหาทางแก้ หาจุดลงตัวกันเอาเอง ไปตามสภาพ...

อย่างไรก็ตาม...ไม่ว่าจะเป็นกรณีอังกฤษ หรือกรณีประเทศในยุโรปทั่วทั้งยุโรปก็ตาม สิ่งที่น่าจะถือเป็นอุทาหรณ์สอนใจได้เป็นอย่างดี ก็คือการหันมา “มองตัวเอง” สำรวจตรวจสอบตัวเอง เอาไว้ให้จงหนักนั่นแหละ ว่าตัวเองเป็นใคร? และอะไรที่เหมาะสม สอดคล้อง ไปกับห้วงเวลาในระยะต่างๆ ที่มันต่างต้องขึ้นๆ-ลงๆ ต้องหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปตามสภาพ แม้ว่าความพยายามที่จะร่วมแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม มลพิษ มลภาวะต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโลกทั้งโลก อย่างชนิดมิอาจคาดคำนวณได้ อาจถือเป็นความปรารถนา ความรู้สึกในแง่ดี แต่ถ้าหากมันไม่สอดคล้อง ต้องกันกับ “ข้อเท็จจริง” ในแต่ละห้วง แต่ละระยะ มันก็อาจก่อให้เกิด “ปัญหา” ขึ้นมาจนได้...

ส่วนประเภท...ที่ไม่คิดจะสำรวจตรวจสอบตัวเองเอาไว้เลย หมกมุ่นอยู่กับเจตนาร้าย กับความรู้สึกในแง่ลบต่อผู้อื่น หันไป “ยั่วยวนกวนส้นตีน” ใครต่อใคร ด้วยความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ เคยทำให้ตัวเองยิ่งใหญ่ เกรียงไกร เคยผงาดขึ้นเป็น “จักรวรรดินิยม” ได้อย่างเต็มรูปแบบ ถึงขั้น “พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน” เอาเลยก็ว่าได้ แต่ในเมื่อยุคสมัย วัน-เวลา มันไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป โลกเมื่อศตวรรษที่แล้ว กับโลกในศตวรรษนี้ ผิดแผกแตกต่างกันไปแบบชนิดพลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ การคิดจะกลับไปสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ “จักรวรรดิอังกฤษ” ด้วยการหันไปดมก้น “อเมริกา” ไปพลางๆ หรือด้วยการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปก็แล้วแต่ เมื่อต้องเจอกับ “ข้อเท็จจริง” จากโควิด-19 และตามด้วย “Brexit” เข้าไปอีกดอก เลยส่งผลให้ไม่ว่ารัฐบาลอังกฤษ หรือบรรดา “ผู้ดีอังกฤษ” เลยหนีไม่พ้นต้องแปรสภาพตัวเองไปเป็น “ผู้ร้าย” กันเห็นๆ...




กำลังโหลดความคิดเห็น