ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ไม่ต้องการให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา ไขก๊อกออกจากพรรคพลังประชารัฐ
ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัส เปลี่ยนใจที่จะคอนเวิร์สแยกทางกับพรรคพลังประชารัฐ เนื่องจากความรักเมตตาที่ พล.อ.ประวิตร มีให้ จึงขอพึ่งพิงชายคาแห่งนี้เป็นบ้านหลังสุดท้ายทางการเมือง
นอกจากนี้ พล.อ.ประวิตร ยืนยันว่า จะไม่ปรับเปลี่ยนกรรมการบริหารพรรคใหม่ แต่ยังไว้วางใจที่จะให้ ร.อ.ธรรมนัส เป็นแม่บ้าน นั่งเลขาธิการพรรคต่อไป แม้วันนี้จะไร้เก้าอี้รัฐมนตรีแล้วก็ตาม
อย่างไรก็ดี แม้จะผ่านมาหลายวันแล้ว หลัง บิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ตัดสินใจ ปลดฟ้าผ่า ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ออกจากเก้าอี้รัฐมนตรี แต่เหมือนเหตุผลในการปลดครั้งนี้จะยังคลุมเครืออยู่ว่า
เป็นเพราะอะไร?!?
ขณะเดียวกัน กลับปรากฏข่าวออกมาตลอดว่า เป็นการถอนแค้นที่ ร.อ.ธรรมนัส ทำให้อับอาย จนทำให้ผู้นำประเทศได้คะแนนไม่ไว้วางใจมากที่สุดในสภา แถมได้คะแนนไว้วางใจเป็นอันดับรองบ๊วย มากกว่า “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน อันดับสุดท้ายไม่กี่คะแนนเท่านั้น
นอกจากนี้ ยังปรากฏข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ยอมจบ แต่ต้องการถอนรากถอนโคน ร.อ.ธรรมนัส ออกจากเก้าอี้เลขาธิการพรรค โดยการส่งรัฐมนตรีสายตรงเข้ามาเขย่าเป็นอาฟเตอร์ช็อก
หากเป็นเช่นนั้นจริง และหากเป็นเพราะเหตุผลต้องการสางแค้นจริง พล.อ.ประยุทธ์ จะถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษ
โดยข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะตอบว่า ต้องปลดออกเพราะอะไร เนื่องจากในความเป็นนายกฯ นั้นย่อมมีอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจปรับ ครม.อยู่แล้ว การจะเอาใครเข้า-ใครออก ไม่มีปัญหาเลย
หากคนๆนั้นทำงานไม่เหมาะสมหรือสร้างปัญหา พล.อ.ประยุทธ์ สามารถพูดออกมาได้เลย ไม่ต้องมีลับลมคมใน ให้คนนินทา หรือหากต้องการจะปรับครม. เพียงแค่แจ้งให้รัฐมนตรีคนดังกล่าวทราบ แค่นั้นก็คงไม่มีใครฝืนความต้องการของผู้นำรัฐบาลได้
เหมือนกับสมัย “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี กับ “กลุ่ม 4 กุมาร” เมื่อได้รับสัญญาณว่าจะมีการปรับ ครม. ก็ไม่รอให้มาไล่ หรือมาปลด แต่แสดงความเป็นสุภาพบุรุษด้วยการชิงยื่นหนังสือลาออก เพื่อคงไว้ซึ่งศักดิ์ศรี
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับ ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ไม่มีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ไม่มีการบอกกล่าว ซึ่งหากพล.อ.ประยุทธ์ บอกให้รู้ เชื่อว่า ทั้งสองคนก็น่าจะออกไปอย่างเท่ๆ ไม่ดื้อด้านอยู่ ให้ต้องมาไล่เหมือนหมูเหมือนหมาแบบนี้
การปลด ร.อ.ธรรมนัส และนฤมลนี้ มันชัดเจนว่า เริ่มต้นจากตัวพล.อ.ประยุทธ์ เพราะเป็นผู้ถวายคำแนะนำให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี มันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะอธิบายว่า เป็นเพราะอะไร
อีกทั้งต้องไม่ลืมว่า ก่อนเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีนั้น รัฐมนตรีทุกคนจะต้องถวายสัตย์ปฏิญาณว่าจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน การปลด ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ออกจากเก้าอี้ เหตุผลก็น่าจะเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชน จึงจะไปถวายคำแนะนำได้
เมื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน แต่ไฉนจนวินาทนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จึงเอาแต่โบกมือปฏิเสธที่จะตอบคำถามสื่อมวลชน
ยิ่งเป็นแบบนี้ มันยิ่งทำให้ประเด็นที่ทุกคนตั้งข้อสังเกตว่า มาจากมูลเหตุความไม่พอใจส่วนตัวที่มาเลื่อยขาเก้าอี้ยังดูมีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก
นอกจากเรื่องนี้แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ยังถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษในมุมของความเป็นนักเลง เพราะในช่วงการอภิปรายไว้วางใจ เกิดกระแสข่าวออกมาว่า มีขบวนการจะโหวตคว่ำนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบเรื่องนี้ว่า “การโหวตล่มนายกฯ เรื่องนี้ถ้ามันจริง ผมถือว่าไม่ใช่สุภาพบุรุษแล้ว”
แต่กระทำของ พล.อ.ประยุทธ์ กลับย้อนแย้งออกไป เพราะเรื่องความกินแหนงแคลงใจกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กับ ร.อ.ธรรมนัสนั้น พล.อ.ประวิตรได้มีการเปิดมูลนิธิป่ารอยต่อฯให้เคลียร์ใจกันแล้ว ซึ่งอีกฝ่ายยอมยกมือขอโทษขอโพยเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น การมาปลด ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ทั้งที่เคลียร์ใจกันแล้ว หากเป็นเพราะต้องการชำระแค้นจริง มันเป็นพฤติกรรมที่ไม่ค่อยสุภาพบุรุษ หรือนักเลงเท่าไหร่
การปลด ร.อ.ธรรมนัส และ นฤมล ครั้งนี้ มันทิ้งคำถามเอาไว้มากมาย และแต่ละคำถามกลับไม่มีคำตอบมาเพื่อไขกระจ่างว่า ข่าวลือต่างๆ นานาไม่เป็นความจริง แต่ปล่อยให้มันไร้ความชัดเจนอยู่แบบนี้
เมื่อไม่ชัดเจน ก็ปฏิเสธข้อสังเกตของสังคมลำบาก