เมืองไทย 360 องศา
หลังจากเสร็จสิ้นศึกซักฟอกไปแล้ว และดุลอำนาจกลับมาอยู่ในมือของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม อีกครั้ง และแม้ว่าหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวนี้ มีการคาดการณ์กันว่าจะต้อง “ปรับคณะรัฐมนตรี” เพื่อ “แก้ปัญหาบางอย่าง” ก็ตาม แต่จากการยืนยันล่าสุด เมื่อวันที่ 9 กันยายน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่รับรู้กันในบทบาท “ผู้จัดการรัฐบาล” ย้ำหนักแน่นว่า “ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี”
ในการให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งยังเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีกระแสข่าวอยากให้ไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และ นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดมหาดไทย นั่ง รมช.มหาดไทย ว่า ใครอยากไป
เมื่อถามว่า ยืนยันหรือไม่ ว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา จะนั่งเก้าอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อไป พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “นายกรัฐมนตรี บอกว่า ไม่มีการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะถามอะไรอีก”
เมื่อถามต่อว่า หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย จะมีการนัด ส.ส.ร่วมรับประทานอาหารกระชับความสัมพันธ์หรือไม่ พล.อ.ประวิตร บอกว่า “ผมไม่หิว”
ดังนั้น หากสรุปแบบตัดตอนในเบื้องต้นที่ฟังจากปากของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ย่อมเข้าใจว่า “ไม่ปรับคณะรัฐมนตรี”
อย่างไรก็ดี คล้อยหลังจากนั้นไม่กี่นาที ก็มีการโปรดเกล้าฯ ให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ พ้นจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน โดยมีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเรียบร้อยแล้ว แต่ที่น่าสังเกตก็คือ มีข้อความตอนหนึ่งว่า “นายกรัฐมนตรีกราบบังคมทูลให้รัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง” หากพิจารณาจากความหมายนี้ก็คือ “ปลด” นั่นเอง
ขณะเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ให้สัมภาษณ์ที่โรงพยาบาลปิยะเวท หลังจากเสร็จสิ้นการเยี่ยมโครงการโรงพยาบาลสนามรับผู้ป่วยสีแดง เมื่อถูกถามย้ำถึงเรื่องดังกล่าว ว่า “ของผม ทำของผม มันอยู่ที่ผม ผมทำของผม” เมื่อถามว่า มีเหตุผลอะไร นายกรัฐมนตรี ตอบว่า “เหตุผลของผม ก็คือเหตุผลของผมสิ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ก็ถือว่าชัดเจน ว่านี่คือ การ “ปลดสายฟ้าแลบ” ในแบบทันควัน และนี่ถือว่า เป็น “อาฟเตอร์ช็อก” ที่เกิดขึ้นหลังศึกซักฟอกที่มาให้เห็นเร็วมาก ขณะเดียวกัน เมื่อพิจารณาทั้งจากข้อความบางตอนในราชกิจจาฯ และคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ยอมรับว่า “ผมทำของผม” และเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรี มันก็เห็นภาพชัดเจนว่า ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ “เป็นเรื่องจริง” โดยเฉพาะ “การเคลื่อนไหวเพื่อล้ม พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเรื่องจริง” ใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาจากเสียงของพรรคเล็กบางพรรค รวมถึง “งูเห่า” ในพรรคเพื่อไทย ที่เคยโหวตให้รัฐบาล คราวนี้กลับโหวตไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นภาพชัดเจน
อีกทั้งความเคลื่อนไหวเพื่อกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนแปลงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จาก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไปเป็นคนอื่น ซึ่งตามรายงานข่าวแม้ว่าจะยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ใครมานั่งแทน แต่ขณะเดียวกัน มีรายงานว่า ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ต้องการเก้าอี้ตัวนี้ ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการ เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคแกนนำรัฐบาล
นอกเหนือจากนี้ เมื่อประมวลจากความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ ทำให้มาย้อนลำดับเหตุการณ์จนสามารถปะติดปะต่อเห็นสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะจากบรรยากาศในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา ที่ออกมาในลักษณะ “อึมครึม” หรือก่อนหน้านั้น ที่มีความเคลื่อนไหวในลักษณะที่ว่า “กลุ่ม 4 ช.” แตก เหลือแค่ “3 ช.” โดยมี นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แยกตัวออกมา และยังได้เข้าพบกับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ตึกไทยคู่ฟ้า เมื่อวันที่ 6 กันยายน เป็นเวลานานกว่าหนึ่งชั่วโมง พร้อมกับการจับตามองกันว่า “กลุ่มสามมิตร” จะกลับฉายแสงอีกครั้ง ในพรรคพลังประชารัฐ หลังจากถูกกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส แย่งชิงบทบาทไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องจับตานับจากนี้อีกอย่างหนึ่ง ก็คือ บทบาทในพรรคพลังประชารัฐ ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ว่า จะยังนั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรคอีกต่อไป หรือไม่ และใครจะมาแทน ซึ่งต้องรอดูท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคอีกด้วย แต่เอาเป็นว่านับจากนี้ ถือว่าคนที่อยู่ในภาวะ “ขาลอย” กลายเป็น ร.อ.ธรรมนัส นั่นแหละ เพราะเมื่อพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีแล้ว ก็ทำให้บทบาทลดลง และโอกาสในการสร้างบารมีก็หดหายตามไปด้วย
สำหรับการปรับคณะรัฐมนตรี เมื่อเกิดเหตุการณ์ “อาฟเตอร์ช็อก” มาเร็ว และแม้ว่าจะเป็นไฟต์บังคับให้ต้องปรับ แต่เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา คงไม่รีบร้อน เพราะหากว่าไปแล้วหากปล่อยว่างเอาไว้ไปอีกสักพักก็คงไม่มีปัญหาอะไร โดยอาจรอจังหวะเพื่อรอปรับ “ตำแหน่งหลัก” เพื่อให้เกิดการกระชับอำนาจ รองรับการเมืองในอนาคตยาวไปถึงการเลือกตั้งคราวหน้า !!