ดร.Francis Collins ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ(NIH) ของสหรัฐฯ
(ภาพจากhttps://magazine.medlineplus.gov/article/research-is-the-key-insights-from-nih-director-dr-francis-collins)
วันนี้...สงสัยคงต้องขออนุญาตแวะไปดูคุณพ่ออเมริกาเค้าหน่อยซะแล้วทั่น!!! เพราะโดยลักษณะอาการ ท่าทางออกจะหนักหนาสาหัสมิใช่น้อย คือถึงแม้เพิ่งอุตส่าห์คว้าตำแหน่ง “แชมป์โลก” จ้าวเหรียญทองโอลิมปิก ณ กรุงโตเกียว แซงหน้ามหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนได้แบบชนิดหวีดหวิว ฉิวเฉียด แต่สำหรับตำแหน่ง “แชมป์โรค” นี่สิ!!! คงไม่มีใครเก่งกล้าสามารถ พอที่หายใจรดต้นคอ คุณพ่ออเมริกาเขาได้เลย เรียกว่า...ทิ้งห่างใครๆ แบบชนิดกู่ไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี เฉพาะจำนวน “ผู้ติดเชื้อสะสม” ปาเข้าไปถึง 36,780,480 คน (ตัวเลขเมื่อช่วงวันอังคารที่ 10 ส.ค.) ไปแล้วถึงขั้นนั้น เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไม่น้อยไปกว่า 633,799 คน หนักซะยิ่งกว่าจำนวนทหารอเมริกันที่ตายในสงคราม 5 ครั้งหลังสุด มารวมกันซะอีกต่างหาก...
คือแม้ว่าจะเก็บกัก กักตุน “วัคซีนเทพ” ระดับไฟเซอร์ โมเดอร์นา เอาไว้ฉีด เอาไว้อาบ ชนิดเต็มประเทศ ล้นประเทศ แถมยังเพียรพยายามฉีดแล้ว ฉีดอีก ฉีดแล้วแถมเงิน แถมของชำร่วย ไปจนถึงพยายาม “บีบบังคับ” ให้ฉีด เช่น กระทรวงกลาโหมอเมริกัน ที่กำลังจะออก “คำสั่ง” อย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ให้บรรดาทหารอเมริกันทุกเหล่า ทุกนาย ทุกถ้วนทั่วตัวคน ที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีน ซึ่งดูเหมือนจะมีอยู่ประมาณ 750,000 คน ต้องเดินแถวเข้ามาให้จิ้ม ให้ทิ่ม อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรือกระทั่งศาลอเมริกัน แห่ง “Hamilton County” เมืองซินซินแนติ รัฐโอไฮโอ ที่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง เมื่อเจอกับ “จำเลย” อย่าง “นายBrandon Rutterford” วัยรุ่นผิวดำอายุ 21 ปี ที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีมียาระงับอาการเจ็บปวด ซึ่งถือเป็นหนึ่งในยาเสพติดให้โทษ อย่างยา “Fentanyl” เอาไว้ในครอบครอง แต่เพราะดันเป็นผู้ที่ไม่คิดจะฉีด หรือไม่นิยมฉีดวัคซีน ไม่ว่าจะไฟเซอร์ โมเดอร์นา หรือยี่ห้อใดต่อยี่ห้อใดก็แล้วแต่ เลยถูกตัดสินลงโทษ...ให้ต้องเร่งไปฉีดวัคซีนภายใน 60 วัน ไม่งั้นศาลอาจต้องตัดสินใจจำคุกเป็นระยะเวลาประมาณ 18 เดือนเป็นอย่างน้อย...
นี่...เรียกว่า ทั้งติดสินบน ทั้งข่มขู่ บังคับ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็แล้วแต่ อันเนื่องมาจาก “ความเชื่อ” ว่าด้วยอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชของ “วัคซีน” ที่ตัวเองผลิตขึ้นมา ย่อมสามารถ “ปลดปล่อย” บรรดาอเมริกันชน ออกจากการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้แบบชนิด “ฉีดปุ๊บ-แข็ง(แรง)ปั๊บ” อะไรทำนองนั้น สามารถกลับมากิน มาดื่ม มาเที่ยวผับ เที่ยวบาร์ มาเปิดธุรกิจ ฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯ ให้กลับมาโตแบบชนิด “โตโยต้า” ได้ไม่ยากซ์ซ์ซ์ แต่ไปๆ-มาๆ...แม้ว่าจะฉีดแล้ว ฉีดอีก ไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนประชากรนับร้อยๆ ล้าน ตัวเลขจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ในแต่ละวัน ที่มันเคยทำท่าว่าน่าจะลดๆ ลงไปมั่ง เหลือแค่ไม่กี่หมื่นคนต่อวัน แต่เมื่อช่วงวันอังคาร (10 ส.ค.) ที่ผ่านมานี่เอง มันดัน “เด้งกลับ” พุ่งพรวดๆ พราดๆ ขึ้นมาเป็นแสนๆ หรือ 102,375 ราย ทำสถิติสูงสุดกว่าบ้านอื่น เมืองอื่น หรือยังคงครองตำแหน่ง “แชมป์โรค” ไม่ว่าในแง่จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม ผู้ติดเชื้อในแต่ละวัน ไปจนจำนวนคนตาย ขณะที่มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีน ที่แม้จะมีจำนวนประชากรมากกว่าคุณพ่ออเมริกาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันเท่า แต่กลับยังคงรั้งตำแหน่งอันดับที่ 107 จำนวน “ผู้ติดเชื้อสะสม” อยู่ที่ 93,826 คนเท่านั้นเอง แม้ต้องเจอกับเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ อย่างสายพันธุ์เดลตา จำนวนผู้ติดเชื้อแต่ละวัน ก็อยู่แค่ระดับ 125 คนต่อวัน ตายไปแค่ 4,636 คน น้อยไปกว่าประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา เอาเลยด้วยซ้ำ ที่ติดเชื้อสะสมไปแล้วถึง 795,901 คน ตายไปแล้ว 6,588 คน ติดเชื้อในแต่ละวันปาเข้าไประดับหมื่น-สองหมื่น อันเป็นอะไรที่น่าปวดเศียรเวียนเกล้า มิใช่น้อย...
คืออาจด้วยเหตุเพราะโดยอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดช ของ “วัคซีน” ไม่ว่าจะเป็นระดับวัคซีนเทพ วัคซีนทิพย์ใดๆ ก็แล้วแต่ เอาไป-เอามาแล้ว มันย่อมมี “ข้อจำกัด” ภายในตัวของมันเองไปทุกๆ วัคซีนนั่นแหละ แม้แต่ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณทวดอิสราเอล ที่ใช้วิธีตะลุยฉีด ตะลุยจิ้ม ตะลุยทิ่ม ไม่ต่างไปจากกัน ด้วยวัคซีนของอเมริกาล้วนๆ ให้กับประชากรจำนวนถึง 5.8 ล้านคน จากจำนวนประชากรทั้งหมด 9.03 ล้านคน และมีอยู่ถึง 5.4 ล้านคนที่ได้ “ฉีดเข็มสอง” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว แต่สุดท้าย...ยังต้องหันมาเร่ง “ฉีดเข็มสาม” กันแบบอุตลุด ชุลมุน เพราะพบว่านอกจากวัคซีนเทพของอเมริกา มันชัก “เอาไม่อยู่” ต่อเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่อย่างสายพันธุ์เดลตาแล้ว จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน แม้แต่ผู้ที่ฉีดเข็มหนึ่ง เข็มสอง ไปเรียบร้อยแล้ว มันเริ่มเด้งกลับมาอยู่ที่ประมาณ 3,417 คนต่อวันเอาเลยถึงขั้นนั้น จนอาจถึงขั้นต้องหันกลับไป “ล็อกดาวน์” กันใหม่อีกรอบหรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้...
การให้ความมั่นใจ เชื่อใจ ต่อการไล่จิ้ม ไล่ทิ่ม ด้วย “วัคซีนเทพ” ของผู้นำอเมริกาอย่างคุณปู่ “โจ ไบเดน” ในลักษณะเช่นนี้ จึงทำให้กระทั่งผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติ (National Institute of Health) ของอเมริกาเอง อย่าง “ดร.Francis Collins” ถึงกับต้องออกมาปรารภ รำพึง เอาไว้ดังๆ เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) ที่ผ่านมา ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่น่าขนลุก ขนพอง เอามากๆ นั่นคือคำว่า “เรากำลังล้มเหลว” ในการเผชิญหน้ากับ “ศัตรูที่มองไม่เห็น” อย่างท่านเชื้อไวรัสโควิดในทุกวันนี้ หรือกระทั่งที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขแห่งทำเนียบขาว “ดร.Anthony Fauci” ที่ถึงกับออกมาเตือนไว้ล่วงหน้ากับสถานีโทรทัศน์ “MSNBC” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (8 ส.ค.) ที่ผ่านมาว่า “เราอาจต้องเจอกับเชื้อไวรัส...สายพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุด!!!...ที่กำลังอุบัติขึ้นมาหลังสายพันธุ์เดลตา” อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นๆ ในอเมริกานั้น กำลังกลายเป็นตัวเพาะเชื้อ ปรับเชื้อ ให้เกิดการ “กลายพันธุ์” ของเชื้อไวรัสที่ร้ายแรงซะยิ่งกว่าสายพันธุ์เดลตา ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า...
ภายใต้ภาวะที่ “เรากำลังล้มเหลว” ในการเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในอเมริกา ทั้งๆ ที่ “ผู้เฒ่าโจ” ได้เข้ามารับตำแหน่งผู้นำประเทศเกือบครึ่งปี หรือ 6-7 เดือนเข้าไปแล้ว อันนี้นี่แหละ...ที่มันอาจส่งผลกระทบยาวไกลไปถึง “การเลือกตั้งกลางเทอม” ของอเมริกา ในช่วงปลายปีหน้า หรือช่วงวันที่ 8 พ.ย. ปี ค.ศ. 2022 ที่จะต้องเลือกสมาชิกสภาผู้แทนนับร้อยๆ ที่นั่ง วุฒิสมาชิกอีกกว่า 30 ที่นั่ง ไปจนถึงผู้ว่าการรัฐ ฯลฯ ในระดับทั่วประเทศ และนั่นอาจส่งผลยาวไกลไปถึงการจัดสรรงบประมาณเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อให้มีโอกาสกลับมาแข่งขันกับประเทศจีนให้จงได้ ดังนั้น...ถ้าหากดันต้องมา “ตกม้าตาย” กันซะแต่เนิ่นๆ ทั้งวัคซีนเทพ วัคซีนทิพย์ใดๆ ก็เอาท่านไวรัสโควิดไม่อยู่ไปด้วยกันทั้งสิ้นโอกาสที่รัฐบาล “เดโมแครต” ของ “ผู้เฒ่าโจ” จะไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ไปโดยตลอด ไม่ว่าจะฉีดไฟเซอร์ โมเดอร์นา ผสมกับ “สเตียรอยด์” ไปสักกี่เข็มต่อกี่เข็มก็แล้วแต่ จึงมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยอาจทำให้รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” ท่านชักต้องเริ่มหันไปหา “ทางออก” หรือ “ทางรอด” แบบเดียวกับ “ทรัมป์บ้า” นั่นก็คือ...ต้องหันไป “โทษจีน” หรือหันไปกล่าวหาว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดแต่เริ่มแรกเดิมทีนั้น มีที่มาจากการ “รั่วไหล” ของห้องแล็บในเมืองอู่ฮั่น โดยบรรดาสมาชิกพรรคระดับสูงของเดโมแครต ต่างพยายามออกมากล่าวถึง “หลักฐาน” และ “ข้อพิสูจน์” ที่ระบุว่าได้รวบรวมเอาไว้ในมือเยอะแยะมากมาย เพียงแต่ยังไม่ถึงช่วงจังหวะ ช่วงเวลา หรือไม่อย่างไร ก็มิอาจทราบได้ การ “กล่าวหาจีน”ในช่วงระหว่างนี้ จึงต้องว่ากันลอยๆ หรือแบบไม่ต่างไปจาก “สงครามจิตวิทยา” ในอีกรูปแบบหนึ่ง การแข่งขันกับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” อย่างจีน นับจากนี้เป็นต้นไป มันจึงน่าจะเพิ่มบรรยากาศแห่งความเป็น “ปฏิปักษ์” หรือความเป็น “ศัตรู” มากกว่าความเป็นแค่ “คู่แข่ง” แบบธรรมดาๆ หรือแบบการช่วงชิงเหรียญทองในมหกรรมโอลิมปิกอยู่แล้วแน่ๆ!!! ด้วยเหตุนี้นี่เอง...บรรดาประเทศเล็ก ประเทศน้อย หรือกระทั่งประเทศหญ้าแพรกทั้งหลายพึงต้องร่วมมือ-ร่วมใจ ร่วมช่วยกันหาทางกดปุ่ม “Pause” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ อย่าดันเผลอไปกดปุ่ม “Fast Forward”แบบที่ท่านผู้นำสิงคโปร์ ท่านนายกรัฐมนตรี “ลี เซียนลุง”ท่านได้ออกมาชี้แนะ ชี้นำ เอาไว้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...นั่นแล...