xs
xsm
sm
md
lg

บทความ

x

เมื่อสายพันธุ์เดลตากำลังเขย่าโลก!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



เป็นไงทั่น!!!...เปิดฉากมหกรรมกีฬาโอลิมปิก “โตเกียว 2020” ไปเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา พอที่จะช่วยให้เกิดความคึกๆ คักๆ กระเหี้ยนกระหือรือ เตรียมที่จะซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ซี๊ดๆ ซ๊าดๆ อย่างเป็นระบบและกิจการ หรือดันกลับก่อให้เกิดความรู้สึกอ้างว้าง วังเวง หง่างเหง่งย่ำค่ำระฆังขาน กันไปถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน อันนั้น...เอาเป็นว่า คงต้องว่ากันไปตาม “รสนิยม” ของใคร-ของมัน เอาเองก็แล้วกัน...

แต่จากความพยายามต่อสู้และเอาชนะ...ต่อการแพร่ระบาดของท่านเชื้อไวรัสโควิด-19 ของบรรดาชาวโลกทั่วทั้งโลก จนตราบเท่าทุกวันนี้ ด้วยกรรมวิธีและรูปแบบต่างๆ รวมทั้งด้วย “ความเชื่อ” ที่ผิดแผกแตกต่างกันไปตามสภาพ คงหนีไม่พ้นต้องหยิบเอาเรื่องทำนองนี้มาเปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้ง ในช่วงสัปดาห์นี้กันอีกครั้ง เพราะออกจะเป็นอะไรที่สับสนอลหม่าน และชุลมุน ชุลเก ซะเหลือเกิน แม้แต่ความพยายามที่จะ“ฮึดสู้” ของคณะกรรมการโตเกียวโอลิมปิกทั้ง 5 ฝ่าย ท่ามกลางความไม่เห็นด้วย ความไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจ ของชาวญี่ปุ่น ยุ่นปี่ กว่า 2 ใน 3 ของประเทศ ที่ยังแทบไม่รู้ “ชะตากรรม” ว่าอาจต้อง “ยกเลิก” มหกรรมกีฬาครั้งนี้ กันในชนิด “วินาทีสุดท้าย” หรือไม่? เพียงใด?...

คือยังไม่ทันได้แข่ง...เห็นว่าล่าสุด ตรวจพบนักกีฬาที่ “ติดเชื้อ” ไปแล้วประมาณ 91 ราย แม้จะใช้มาตรการแบบ “คุมเข้ม” สุดๆ อย่างที่ผู้อำนวยการบริหารโอลิมปิกสากล (IOC) “นายChristopher Dubai” ท่านสรุปเอาไว้ว่า ทั้ง “rigorous” ทั้ง “thorough” ทั้ง “very strict” หรือทั้งเข้มงวด กวดขัน ชนิดสุดแสนจะซับซ้อนยุ่งเหยิง เพียงใดก็ตาม ประเภทนักกีฬาแต่ละชาติที่เข้าลงแข่งขัน แทบไม่ได้มีโอกาสเห็นหน้า-เห็นตากันเลย ก่อนที่จะลงสนาม ต้องแยกบ้าน แยกห้อง แยกที่อยู่ที่กิน ต้องสวมหน้ากากติดตัวไว้ทุกคน ยกเว้นแต่เฉพาะตอนเอาอาหารเข้าปาก ตอนนอน หรือตอนลงสนามเท่านั้น ฯลฯ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ...โอกาสที่มันจะหลุดโน่น หลุดนี่ ย่อมมีความเป็นไปได้เสมอๆ ขนาดช่วงแรกที่ลงมาถึงสนามบินกรุงโตเกียว หรือการเดินทางมาถึงโรงแรมที่พักนักกีฬาในแต่ละชาติ การเซลฟ่ง เซลฟี ที่กลายเป็น “วัฒนธรรม” ของคนยุคดิจิตอล อย่างมิอาจปฏิเสธได้อีกต่อไปแล้ว ระหว่างชาวญี่ปุ่นกับบรรดานักกีฬาทั้งหลาย ก็ทำให้แทบไม่รู้ว่าใครจะติดเชื้อ แพร่เชื้อ กันไปอีกถึงขั้นไหนต่อขั้นไหน...

โดยเฉพาะเมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดในญี่ปุ่นคราวล่าสุด ที่ขึ้นไปถึงประมาณ 1,979 ราย หรือสูงสุดในรอบ 6 เดือน เมื่อช่วงวันศุกร์ (23 ก.ค.) ที่ผ่านมา มันหนักไปทาง “สายพันธุ์เดลตา” (Delta Variant) นั่นแหละเป็นสำคัญ อันเป็นสายพันธุ์ที่กำลัง “เขย่าโลกทั้งโลก” นับจากนี้เป็นต้นไป หรือเป็นสายพันธุ์ที่ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนเทพ วัคซีนมนุษย์ธรรมดา หรือวัคซีนที่บรรดาแฟนคลับ “หมอบุญ” บ้านเรา พยายาม “ลดเกรด” อยู่ในทุกวันนี้ ฯลฯ ต่างก็ “เอาไม่อยู่” ไปด้วยกันทั้งสิ้น มีแค่พอให้ช่วยตายช้า หรือไม่ตายไปซะก่อนกำหนดการ แต่เพียงเท่านั้น และสายพันธุ์ที่ว่านี้...ไม่เพียงแต่อาจทำให้ “โอลิมปิก 2020” ณ กรุงโตเกียว กลายเป็น “คลัสเตอร์” ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นับจากนี้ แต่ยังอาจตามไปเล่นงานสังคมใดๆ ก็ตาม ประเทศใดๆ ก็ตาม ที่ย่ามใจ ที่มั่นอก-มั่นใจ ว่าสามารถต่อสู้และเอาชนะท่านเชื้อไวรัสโควิดได้แล้ว ชนิดอาจ “เดี้ยง” กันไปเป็นราย โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึง...

อย่างคุณพ่ออเมริกาช่วงนี้...ที่ผู้นำประเทศ อย่างคุณปู่ คุณทวด “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” ถึงกับกล้าออกมาป่าวประกาศว่าวันอันยิ่งใหญ่ของอเมริกาได้หวนกลับคืนมาแล้ว โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ “ฉีดวัคซีน” ครบโดส ไม่ว่าเข็มสอง-เข็มสาม จนสามารถเลิกใส่หน้ากาก เลิกเว้นระยะห่างทางสังคม ฯลฯ กลับไปเที่ยวบาร์ เที่ยวคลับ กิน-อยู่-คบค้าสมาคม ฯลฯ ได้ตามปกติ แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี่เอง ด้วยจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ที่พุ่งระเบิดเถิดเทิง ชนิดเทียบได้กับช่วงการแพร่ระบาดสูงสุดเมื่อต้นปี ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา หรืออาจหนักกว่าเอาเลยด้วยซ้ำ คือเพิ่มขึ้นไปถึง 195 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วง 7-14 วันที่ผ่านมา เพิ่มจำนวนผู้ที่ต้องเข้าทำการรักษาขึ้นไปอีก 46 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มจำนวนคนตายไปถึง 42 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญในอเมริกา ต่างออกอาการ “หูแหก-ตาแหก” ไปตามๆ กัน โดยเฉพาะเมื่อพบว่า 83 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนผู้ติดเชื้อ เกิดขึ้นจาก “สายพันธุ์เดลตา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น!!!

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่ว่าจะฉีดวัคซีนครบโดส-ไม่ครบโดส เทพ-ไม่เทพ ต่างก็มีสิทธิ “ติด...กับ...ติด” ไปด้วยกันทั้งนั้น ตราบใดที่ไม่คิดจะสวมหน้ากาก ไม่คิดจะเว้นระยะห่าง ฯลฯ ยิ่งประเภทไม่คิด “ฉีดวัคซีน” ด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ เช่นบรรดาผู้คนทางใต้ อย่างรัฐเท็กซัส เป็นต้น ที่ตะลุยฉีดวัคซีนไปได้แค่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่จะติดเชื้อชนิดโรงพยาบาลต่างๆ หรือ “ระบบสาธารณสุข” อเมริกา เอาไม่อยู่เหมือนบ้านเรา ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ หรือทำให้สังคมอเมริกันที่อุตส่าห์ “กักตุน” เก็บกักวัคซีนเทพ เอาไว้ฉีด เอาไว้อาบ ไม่คิดจะบริจาค ไม่คิดจะช่วยเหลือ เจือจาน ใครต่อใครมาแต่แรก อาจต้องหวนกลับไปสู่จุดที่ “ดร.Rochelle Walensky” ผู้อำนวยการ “CDC” (Center for Disease Control and Prevention) ระบุว่าถือเป็น “ช่วงสำคัญสูงสุดแห่งการแพร่ระบาด” นั่นเอง...

ส่วนสังคมผู้ดีอังกฤษ...ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากกันนั่นแหละทั่น!!! ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาทางไม่ให้ “อดตาย” อันเนื่องมาจากจีดีพีประเทศที่ไหลทะรูดทะราดลงไปถึง 11 เปอร์เซ็นต์นับแต่การแพร่ระบาดที่ผ่านมา “วันแห่งเสรีภาพ” ของประเทศอังกฤษ อันเนื่องมาจากการฉีดวัคซีนให้กับบรรดาพวกผู้ดีไปแล้วถึงกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ อาจกำลังกลายสภาพไปเป็น “วันแห่งมรณภาพ” ภายในช่วงฤดูร้อนที่กำลังมาถึง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ ด้วยเหตุเพราะจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ที่เด้งกลับมาอยู่ที่วันละประมาณ 4 หมื่น 5 รายเอาเลยถึงขั้นนั้น โดยส่วนใหญ่หนักไปทาง “สายพันธุ์เดลตา” ด้วยกันทั้งสิ้น สายพันธุ์เดียวกันกับที่กำลังทำให้ “โตเกียวโอลิมปิก” กลายเป็น “คลัสเตอร์” ระดับโลก ทำให้สังคมอเมริกัน หวนกลับไปสู่ “จุดสูงสุดแห่งการแพร่ระบาด” ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง...ฯลฯ ฯลฯ....

สรุปรวมความแล้ว...ก็คงไม่ใช่แต่เฉพาะ “บ้านเรา” เท่านั้น ที่กำลังสับสน อลหม่าน ก่อให้เกิดการเถียงกัน ด่ากัน ประณามหยามเหยียดซึ่งกันและกัน ชนิดวันละ 3 เวลาหลังอาหาร หรืออาจเพิ่มรอบดึก รอบเที่ยงคืน อีกด้วยก็เป็นได้ จนไม่ใช่แต่เฉพาะ “รัฐบาล” เท่านั้น ที่อาจ “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น” แต่ยังไปไกลถึงขั้น....อาจคิด “พลิกฟ้า-คว่ำดิน” เอาเลยก็ไม่แน่!!! การแพร่ระบาดของ “สายพันธุ์เดลตา” ในเที่ยวนี้ จึงเป็นอะไรที่น่าขนลุก ขนพอง น่าหวาดหวั่นขวัญสยองเอามากๆ โดยเฉพาะถ้าหากมันถูกหยิบไปใช้เป็น “เครื่องมือ” ในการสร้าง “ผลกระทบ” ใดๆ ก็ตาม ที่กำลังทยอยตามมาติดๆ ไม่ว่าในแง่ “เศรษฐกิจ” ที่อาจส่งผลให้เกิดการ“ชะลอตัว” หรือเกิด “ภาวะเงินเฟ้อ” ฯลฯ ลุกลามบานปลายไปทั่วทั้งโลก หรือในแง่ “การเมือง” ที่อาจนำไปสู่การโค่นล้ม ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม แบบชนิดถอนราก-ถอนโคน ไม่ว่าจะในแง่ระบบ ระบอบไปจนถึงวัฒนธรรม ประเพณี ค่านิยมทางสังคม ฯลฯ เอาเลยก็เป็นได้...

ด้วยเหตุนี้...ก็คงต้องเพิ่มความระมัดระวัง ทั้งในทาง “เทคนิค” ทั้งในทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีกันไปตามสภาพนั่นแหละทั่น คือไม่ใช่แต่เฉพาะการย้ำเตือน ย้ำความสำคัญของการหมั่นล้างมือ-ล้างไม้ การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ฯลฯ แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องมองไกลไปถึงเรื่อง “อารมณ์-ความรู้สึก” ของผู้คนในแต่ละสังคมควบคู่ไปด้วย ว่ามันไปถึงไหนต่อถึงไหนกันมั่งแล้ว!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น