นอกเหนือไปจากการ “ป่วยตาย” อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของท่านเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์เดลต้า ที่เล่นเอาโลกทั้งโลก ปั่นป่วน วุ่นวาย กันไปเป็นแถบๆ ทั้งๆ ที่กำลังอยู่ในช่วงคิดจะเงยหน้า อ้าปาก คิดฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ คิดจะสร้าง “ปราสาททราย” ประเภท “ภูเก็ต แซนด์บ็อกซ์” “เชียงใหม่ แซนด์บ็อกซ์” ฯลฯอะไรทำนองนั้น แต่เมื่อดันต้องหวนกลับ “คุมเข้ม” ไป “ล็อกดาวน์” หรือ “เซมิ ล็อกดาวน์” อะไรก็แล้วแต่ โอกาสที่จะต้องเจอกับการ “อดตาย” จึงกลายเป็นสิ่งที่คงต้องคิดๆ คงต้องให้ความสนใจเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
ด้วยเหตุนี้...วันนี้ เลยคงต้องขออนุญาตชวนไปฟังการ “บรีฟสรุป” (สำนวนท่านอดีตนายกฯ บรรหาร) ของกูรู กูรู้ ระดับหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์แห่งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ “IMF” ของสาวอินตะระเดีย อย่าง “นางกีตา โกพินาถ” (Gita Gopinath) ที่ออกมาวาดภาพ วาดจินตนาการ เอาไว้เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.) ถึงแนวโน้มความเป็นไปของ “เศรษฐกิจโลก” เมื่อต้องเจอกับการออกอาวุธดอกใหม่ ของท่านเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า จนทำให้ไม่ว่าประเทศรวย ประเทศจน ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า เศรษฐกิจใหม่ หรือประเทศกำลังพัฒนา ต่างต้องเจอกับ “ปัญหา” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ต้องหวนกลับไปอาศัยมาตรการควบคุมในลักษณะต่างๆ เช่น ต้องปิดชายแดน ปิดบริษัทธุรกิจ ต้องเกิดการชะงักงันของศูนย์การผลิตต่างๆ แทบจะทั่วทั้งโลก ฯลฯ จนส่งผลให้ความพยายาม “ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ” ของแต่ละประเทศ ต่างมีอันต้อง “เดี้ยง...กับ...เดี้ยง” ไปเป็นแถบๆ...
แม้ว่าสาวอินตะระเดียรายนี้...ท่านพยายามจะ “มองโลกในแง่ดี” หรือ “โลกสวย” เอาไว้ก่อน โดยยังไม่คิดจะปรับลดตัวเลขการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ที่เคยคาดๆ เอาไว้เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ว่าจะโตประมาณ 6 เปอร์เซ็นต์ทำนองนั้น แต่ก็หนีไม่พ้นต้องยอมรับถึง “ความไม่แน่นอน” ในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของแต่ละประเทศ ที่ยังไม่อาจ “เอาอยู่” ต่อการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของท่านเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ได้ง่ายๆ ดังนั้น...การคาดการณ์ถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าของบรรดาประเทศต่างๆ จึงต้องหนักไปทาง “หดแล้ว-หดอีก” อย่างเช่นประเทศรวยๆ หรือประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจปีนี้ อาจโตได้ถึง 4.9 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปีหน้า (ค.ศ. 2022) น่าจะเหลือเพียงแค่ 4.4 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ส่วนบรรดาประเทศจนๆ ประเทศกำลังพัฒนา หรือกระทั่งประเทศเศรษฐกิจใหม่ ที่ทำท่าว่าอาจพอได้รวยๆ กะเค้ามั่ง แม้ว่าโดยแนวโน้มของเศรษฐกิจในปีนี้ อาจโตได้ถึง 6.3 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปีหน้า...ยังไงๆ ก็น่าจะ “หด” เหลืออยู่แค่ประมาณ 5.2 เปอร์เซ็นต์ ไม่เกินไปกว่านั้น...
หรือถ้าจะเจาะเป็นรายหัว รายตัว ประเทศเศรษฐกิจอันดับหนึ่ง อย่างคุณพ่ออเมริกา จากแนวโน้มที่จะโตได้ถึง 7.0 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ แต่ปีหน้า...น่าจะเหลือแค่ 4.9 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ยุโรปที่อาจโตได้ถึง 4.6 เปอร์เซ็นต์ ปีหน้าก็น่าจะลดเหลือแค่ 4.3 เปอร์เซ็นต์ไปตามลำดับ ตะวันออกกลางและเอเชียกลาง ที่อาจโต 4.0 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ น่าจะเหลือแค่ 3.7 เปอร์เซ็นต์ในปีหน้า ส่วนละตินอเมริกาและแคริเบียน ที่แนวโน้มเศรษฐกิจค่อนข้างแกว่งไป-แกว่งมา เคยขึ้นไปถึง 7.0 เปอร์เซ็นต์ในปี ค.ศ. 2020 ก่อนตกจากหอคอย่นลงมาเหลือแค่ 5.8 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ แต่ในปีหน้า...น่าจะเละเป็นขี้ เละเป็นโจ๊กยิ่งไปกว่านั้น คืออาจเหลือเพียงแค่ 3.2 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยก็ไม่แน่ ส่วนในแถบซับซาฮาราและแอฟริกา ออกจะน่าแปลกใจอยู่บ้างนิดหน่อย หรืออาจถือเป็นภูมิภาคเดียว ที่พอมีโอกาสได้โตแม้ไม่ถึงกับโตโยต้ามากมายสักเท่าไหร่นัก คือจากแนวโน้มเศรษฐกิจในปีนี้อาจโตได้ประมาณ 3.4 เปอร์เซ็นต์ แต่ในปีหน้า...อาจขึ้นไปถึง 4.1 เปอร์เซ็นต์ ด้วยสาเหตุประการใด คงต้องไปสอบถามเอาเองก็แล้วกัน...
แต่ไม่ว่าใครจะโตกันไปในแบบไหน อย่างไร สิ่งที่น่าสนใจเอามากๆ ก็คือว่า...สาวอินตะระเดียรายนี้ ท่านค่อนข้างให้ความสนใจต่อ “ความไม่เท่าเทียมกัน” ไม่ว่าระหว่างคนรวย-คนจน ประเทศรวย-ประเทศจน ที่ค่อนข้างสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ในภาวะวิกฤต หรือภายใต้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ กลับยิ่งกลายเป็นตัวก่อให้เกิด “ช่องว่าง” ที่มีแต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นๆ เพราะเพียงแค่การจัดหา การเก็บกักวัคซีนมาฉีดให้กับผู้คนพลเมืองของแต่ละประเทศ เพื่อหวังว่าจะนำไปสู่การหวนกลับคืนมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ หรือกลับมาพลิกฟื้นเศรษฐกิจไม่ให้ถึงกับต้อง “อดตาย” กันง่ายๆ ปรากฏว่าขณะที่ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า หรือประเทศรวยๆ สามารถเก็บกัก หรือกักตุนวัคซีน เอาไว้อาบ เอาไว้ฉีด ให้พลเมืองตัวเองได้โดยอัตราเฉลี่ยประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์เข้าไปแล้ว แต่สำหรับประเทศจนๆ ประเทศกำลังพัฒนา หรือประเทศเศรษฐกิจใหม่อย่างในแถบเอเชียก็เถอะ อัตราการฉีดวัคซีนโดยเฉลี่ย เพิ่งไปได้แค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
ยิ่งการเข้าถึงแหล่งทุน เงินทุน ที่จะนำมาใช้เป็นตัวเยียวยา ฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ประเทศรวยๆ ประเทศเศรษฐกิจก้าวหน้า สามารถสาดเงินไปแล้วไม่น้อยกว่า 4.6 ล้านล้านดอลลาร์ในปีนี้ แต่บรรดาประเทศจนๆ หรือประเทศกำลังพัฒนามีแต่ต้องหันไป “ปลูกมะเขือ” ต้องกระเบียดกระเสียร ต้องชักหน้า-ไม่ถึงหลังกันไปเป็นแถบๆ ด้วย “ปัญหาช่องว่าง” ที่มันมีของมันมานานแล้ว ภายใต้โลกที่เป็น “ทุนนิยม” ไปด้วยกันทั้งสิ้น แต่นับวัน...กลับยิ่งมีแต่จะขยายตัว ยิ่งถ่างกว้าง จนแทบไม่ต่างไปจากนรกกับสวรรค์ยิ่งเข้าไปทุกที และเมื่อต้องเจอเข้ากับ “วิกฤต” ใดๆ ก็แล้วแต่ ดูเหมือนว่า...ยิ่งทำให้ช่องว่างเหล่านี้ ยิ่งสามารถมองเห็นได้ชัดเจน โดยแทบไม่ต้องเสียเวลาอธิบายเอาเลยแม้แต่น้อย และนั่นเอง...ที่อาจทำให้สาวอินตะระเดียอย่าง “นางกีตา โกพินาถ” เธออดไม่ได้ที่จะต้อง “สรุป” ไว้ด้วยภาษาง่ายๆ ที่ไม่ถึงกับต้องเป็นวิชาการ หรือไม่จำเป็นต้องถอดออกมาเป็นตัวเลขอะไรต่อมิอะไรดังที่ได้กล่าวไปแล้ว แต่หนักไปทางคล้ายๆ กับ “คำทำนาย” “คำพยากรณ์” หรือ “คำสาป” เอาเลยก็ไม่แน่!!!
นั่นก็คือ...การสรุปเอาไว้ว่า ภายใต้การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลต้า ที่กำลังทำให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของโลกทั้งโลกย่อมติดๆ-ขัดๆต่อไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ กำลังส่งผลให้ “คนจน...มีแต่จะจนยิ่งขึ้นๆ” จนอาจนำมาซึ่ง “ความไม่สงบเรียบร้อย” ที่จะลุกลามบานปลายขึ้นมาภายในประเทศต่างๆ และอาจกลายไปเป็นเงื่อนไขและข้ออ้าง ที่จะทำให้ “ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์” ของโลกทั้งโลก ซึ่งทั้งตึง ทั้งเครียดอยู่แล้ว มีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป...
ยิ่งภายใต้ภาวะ “ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ” ช่วงนี้...มันมี “ปรากฏการณ์” บางอย่าง ที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ IMF รายนี้อดไม่ได้ที่จะต้องพูดถึง กล่าวถึง เอาไว้พอประมาณ นั่นคือ “ภาวะเงินเฟ้อ” ที่แม้ถูกสรุปว่าอาจเป็นแค่ภาวะชั่วคราว แต่ก็น่าจะดำรงคงอยู่ต่อไปถึงปีหน้า อันไม่เพียงแต่จะเป็นตัวก่อให้เกิดราคาสินค้าอาหารพุ่งขึ้นแบบปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ แต่ยังอาจส่งผลต่อการเสื่อมค่าของสกุลเงินในประเทศต่างๆ ได้เช่นกัน หรือสรุปง่ายๆ ว่า...แนวโน้มแห่งความเสี่ยง ไปจนถึงความฉิบหายที่กำลังอุบัติขึ้นมาในปีนี้ ย่อมมีสิทธิ์ “ลากยาวว์ว์ว์” ไปถึงปีหน้า อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม หรือแม้แต่ “การทหาร” เอาเลยก็ไม่แน่!!! เพราะขณะกำลังฉีกมาเขียนถึงเรื่องราวทางเศรษฐกิจ เผอิญเหลือบไปเห็นข่าว...ว่าคุณปู่อิหร่านกับคุณทวดอิสราเอล กำลังคิดจะ “ใส่กันและกัน” หรือไม่ อย่างไร ก็ยังมิอาจคาดคำนวณได้ อันเนื่องมาจากกรณี “ผู้หญิง???” หรือ “ใครก็ไม่รู้???” แอบไป “ยิงเรือ” ซึ่งกันและกัน โดยจะเป็นยังไงกันต่อไปนั้น คงต้องไปว่ากันในวันหน้าก็แล้วกัน...