สนค.แนะภาคธุรกิจให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อม รับนโยบาย BCG Model ที่รัฐบาลขับเคลื่อนเป็นวาระชาติ ชี้สินค้าและบริการที่ปกป้องสิ่งแวดล้อมจะกลายเป็นตลาดที่สำคัญในอนาคต หลังทั่วโลกให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อม และคนรุ่นใหม่นิยมเพิ่มขึ้น
นายภูสิต รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ทำการศึกษานโยบายด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โดยพบว่านานาประเทศให้ความสำคัญต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไทยเองก็มีความพยายามที่จะขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีการตั้งคณะกรรมการเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน มีสำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นหน่วยงานหลักในการสนับสนุนการดำเนินการ และนายกรัฐมนตรียังได้ประกาศให้เศรษฐกิจชีวภาพ-เศรษฐกิจหมุนเวียน-เศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) เป็นวาระแห่งชาติเมื่อวันที่ 13 ม.ค. 2564 ด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่ภาคธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญ
ทั้งนี้ นอกเหนือจากความพยายามของภาครัฐ พบว่าประชาชนทั่วไปก็เริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมและหันมาให้ความสนใจต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เช่น ผลการสำรวจของบริษัท Nielsen ในปี 2560 ระบุว่าผู้บริโภคทั่วโลกมีการปรับพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้า โดยให้ความสำคัญต่อผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกเหนือไปจากการคำนึงถึงราคาและความสะดวกในการซื้อสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคในกลุ่ม Millennial และ Gen Z ที่ให้ความสำคัญต่อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ากลุ่ม Gen X และกลุ่ม Baby Boomer และผลการสำรวจดังกล่าวยังแสดงถึงข้อมูลที่น่าสนใจอีกประการ คือ ผู้บริโภคจากประเทศกำลังพัฒนามีความคาดหวังให้มีการรักษาสิ่งแวดล้อมมากกว่าผู้บริโภคจากประเทศพัฒนาแล้ว
“ประเด็นสิ่งแวดล้อมจึงเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญ และปรับตัวเพื่อให้สามารถผลิตสินค้าและบริการที่มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อวิถีการดำรงชีวิตที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกำลังจะกลายเป็นตลาดหลักในวันข้างหน้า” นายภูสิตกล่าว
นายภูสิตกล่าวว่า สำหรับตัวอย่างของการปกป้องสิ่งแวดล้อมในภาคธุรกิจ เช่น ในภาคการเงิน การลงทุน นักลงทุนทั่วโลกสนใจที่จะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance; ESG) ซึ่งตั้งแต่ปี 2558 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้จัดทำรายชื่อหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment หรือ THSI) เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่มีความโดดเด่นด้าน ESG ที่ได้รับการประเมินระดับโดยสถาบันชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ และยังมีการส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนอีกด้วย
ปัจจุบันการเติบโตทางเศรษฐกิจการค้า ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตทั้งในมิติของปริมาณ ความรวดเร็ว หรือความสวยงาม เพื่อตอบสนองความต้องการในการอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่การผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นย่อมทำให้เกิดการใช้วัตถุดิบหรือทรัพยากรที่เพิ่มขึ้น และการเกิดส่วนเกินขยะหรือมลพิษตั้งแต่ขั้นตอนการผลิต การบรรจุ การขนส่ง การอุปโภคบริโภค ซึ่งหากเรื่องเหล่านี้ไม่ได้รับการบริหารจัดการที่ดีย่อมส่งผลกระทบทางลบต่อธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ทุกภาคส่วนทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคควรร่วมมือกันเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อม