รศ.นพ.เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ
นายแพทย์ทรงคุณวุฒิ สาขาศัลยกรรม รพ.ราชวิถี และผู้ช่วยเลขาธิการแพทยสภา
หลาย รพ.ยอมรับความจริงแล้วว่า ไม่สามารถรักษาทุกคนที่มาขอความช่วยเหลือได้ (พูดง่าย ๆ คือต้องเลือกหยุดให้การรักษา ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องการทำเช่นนั้น) เพราะรักษาไปก็รู้เต็มอกว่า จะเสียชีวิตอยู่ดี...หลายครั้งที่แพทย์ต้องตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ...ที่จากผู้ช่วยชีวิต กลายเป็นผู้เลือกชีวิต แบบ Thanos ดีดนิ้ว....เลือกว่าจะให้ใครได้รับโอกาสในการไปต่อ......สถานการณ์ขณะนี้ตัวเลขยอดการเสียชีวิต ส่วนใหญ่เกิดจาก "การเข้าไม่ถึงการรักษาที่ดีที่สุด เพราะเตียงเต็ม และเกินกว่าระบบจะรองรับได้อีกแล้ว"
คาดว่าสถานการณ์จะไปอยู่ที่จุดพีคปลายเดือน ส.ค.ถึงต้นเดือน ก.ย.โดยดูได้จากยอดตัวเลขผู้เสียชีวิต ส่วนยอดการติดเชื้อรายวันของจริงนั้นสูงกว่านี้หลายเท่าตัว
งานเลี้ยงย่อมมีที่สิ้นสุด โดยภายหลังโควิดผ่านไป...รัฐบาลและคนส่วนใหญ่จะเจอปัญหาความจนทั่วหน้า การตกงาน....ตามด้วยการพุ่งขึ้นของอัตราการฆ่าตัวตาย (ต้มยำกุ้ง return) ..ถึงขนาดหลายชาติพยากรณ์ล่วงหน้าแล้วว่า ประเทศไทยกำลังจะเจอปัญหาการฟื้นตัวช้าที่สุด เผลอ ๆ จะคล้าย Great Depression ของอเมริกาเมื่อหลายสิบปีก่อน
สิ่งที่เราต้องทำเพื่อปกป้องตัวเอง และเพื่อช่วยรัฐบาล(ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม) คือ …
(๑) อยู่รอดปลอดภัยจากการติดเชื้อ อย่าพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง...เพราะจะไม่มีเตียงหรือไม่มีแพทย์พยาบาลมาช่วยดูแลได้อีกต่อไป ข้อเท็จจริงขณะนี้คือ บุคลากรทางการแพทย์ แม้แต่ใน war room ของกระทรวงและส่วนราชการหลายแห่งก็ติดเชื้อกันระนาว อย่าลืมว่าเชื้อโรคไม่เลือกสถานที่ติดต่อ…
(๒) ใครที่ยังฉีดวัคซีนไม่ครบคอร์ส โดยเฉพาะใครที่ยังลังเลว่าจะฉีดดีไม่ฉีดดี....คนนั้นคือคนที่เสี่ยงที่สุด และจะตกเป็นเหยื่อของไวรัสโควิด อย่างไม่น่าให้อภัย....อย่าสับสนว่า วัคซีนต้องป้องกันโรคได้ เพราะความจริงแล้ววัคซีนถูกออกแบบเพื่อมิให้ป่วยหนักเป็นสำคัญ ดูตัวอย่างจากวัคซีนไข้หวัดใหญ่ที่ฉีดกันมานานแล้ว..ฉีดเพื่อป้องกันป่วยหนัก ไม่ใช่ป้องกันโรค 100%
(๓) ใครที่ฉีดครบแล้ว...ก็อย่า _่าส์...เพราะเชื้อกลายพันธุ์ตลอด ไม่มีวัคซีนยี่ห้อไหน ป้องกันการติดเชื้อได้ 100% ........ดูอย่าง อิสราเอล หรืออเมริกา..เผลอ ๆตอนนี้บริษัทยากำลังพัฒนาวัคซีน version ใหม่ เพราะ version เดิมที่ stock ไว้..เริ่มเอาไวรัสไม่อยู่แล้ว
(๔) ใครเลือกวัคซีน...ก็เหมือนคนที่มัวแต่เลือกชูชีพ ทั้ง ๆ ที่เรือกำลังจะจม..เพราะชูชีพทุกยี่ห้อกันจมน้ำได้เหมือนกันหมด ... ชูชีพทุกยี่ห้อออกแบบมาเพื่อลดความเสี่ยงจากการป่วยหนัก แต่หากป้องกันการติดเชื้อ ได้ก็คิดซะว่าเป็นของแถมชั่วคราว (เพราะเชื้อกลายพันธ์ไปเรื่อย ๆ และมีแนวโน้มว่าทุกยี่ห้อต้องได้รับการบูสใหม่)
สิ่งที่รัฐต้องทำคือ…
(๑) แจ้งความจริงให้ประชาชนทราบ..เพื่อจะได้รับทราบสถานการณ์ที่ถูกต้อง และวางแผนชีวิตอย่างปลอดภัย
(๒) ยอมรับความจริงว่า "เงินมีจำกัด"... ต้องมีการวางแผนงบประมาณ(เงินภาษี)ที่มีจำกัด เพื่อใช้ในการรักษาพยาบาล ใหม่ ก่อนที่จะกระทบกับผู้ป่วยโรคอื่นที่รอรับการรักษาอยู่เพราะถูกเลื่อนมานับปีแล้ว ....ในโลกความเป็นจริงแล้ว...ตัวเลขค่ารักษาในรพ.สำหรับคนที่อาการไม่หนักมากไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่ที่ 100,000-300,000 ต่อคน.... สำหรับคนที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ(Hiflow oxygen)ค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่าสามแสน ..... สำหรับคนที่ต้องสอดท่อช่วยหายใจและเข้า ICU (ซึ่งมีอัตราการตายสูงที่สุด) ค่าใช้จ่ายเป็นล้านทุกคน ...ตัวเลขนี้สำหรับรพ.เอกชนระดับกลางๆ แต่ได้มาตรฐานสูง(มีเครื่องมือพร้อม มีแพทย์เฉพาะทางพร้อม มีพยาบาลดูแลเต็มที่) แต่หากเป็น รพ.หรูระดับท็อป ๆ..เอาสองหรือสามหรือบางแห่งเอาสิบคูณไปเลย...ยิ่งหากต้องใช้เครื่องพยุงชีพแบบ ECMO ค่ารักษาต่อคนน่าจะถีบตัวไปหลักสิบล้าน....ส่วน สปสช.ที่มาตามจ่ายให้รพ.นั้น..น้อยกว่าความเป็นจริงมาก..เพราะสปสช.ก็น่าจะรู้อยู่เต็มอกว่า จ่ายตามจริงไม่ไหวแน่ ๆ....รพ.จึงเหมือนตกอยู่ในสภาพบังคับให้เฉือนเนื้อตัวเองตลอด...ถึงได้มีข่าวบริษัทประกันขอยกเลิกกรมธรรม์โควิด
(๓) เพราะเงินจำกัดตามข้อ ๒ ...รัฐอาจต้องเจียดเงินนี้ไปใช้จัดหาวัคซีน ยาต้านไวรัสเพื่อให้มีพอเพียงที่จะจ่ายให้คนป่วยอาการน้อย ๆ แต่เริ่มแรก เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นกลุ่มอาการหนัก น่าจะเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่ากว่า...แถมยังลดอัตราการเข้า icu หรือเข้า รพ.ได้มาก ...ยิงปืนนัดเดียว ได้นกหลายตัว...อย่าปล่อยให้นกตายหมกรังทั้ง ๆ ที่ช่วยได้ตั้งแต่ต้นด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าและคุ้มกว่ามาก
(๔) เพราะเงินจำกัดตามข้อ ๒..และเป็นเงินก้อนเดียวกันกับที่ต้องใช้เยียวยาสำหรับ LOCK down เต็มรูปแบบที่น่าจะเกิดขึ้นตามมาอีกมาก......ดังนั้นรัฐต้องวางแผนการใช้เงินให้ดี...ตอนนี้ค่าเงินเราอ่อนกว่าเดิมมาก ..บ่งบอกว่าเรามีหนี้เพิ่มขึ้นมาก ต่างชาติเริ่มมองประเทศเราเป็นลบ..ภาระหนี้สินจากการกู้ยืมจะสูงขึ้นตามค่าเงินที่อ่อนลง
(๕) บังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ไม่งั้น lockdown เสียของเหมือนทุกครั้ง ..พอทีกับคำพูดของผู้มีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายที่มักออกมาพูดว่าจะใช้มาตรการนิ่มนวล จากเบาไปหนัก...ขณะนี้คือภาวะสงคราม(ทราบแล้วเปลี่ยน) ..ต้อง.จับ ปรับในอัตราสูงสุด ส่งฟ้องทันที เรื่องรอลงอาญาน่าจะโยนทิ้งไปได้แล้ว...สำคัญที่สุดทุกคนที่ฝ่าฝืนต้องจำคุกในอัตราโทษสูงสุด..แบบที่จีน ลาว กัมพูชา ทำ..แต่ไทยไม่กล้าทำ…
ระบบบังคับใช้กฎหมายบ้านเราล้มเหลวโดยสิ้นเชิงมานานแล้ว ทั้ง ๆ ที่ตอนปฏิวัติบอกว่าจะ "ปฏิรูปกฎหมาย" "ปราบคอรัปชั่น" "ปฏิรูประบบผู้บังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ยันปลายทาง"...... แต่จนป่านนี้ ยังไม่เห็นความคืบหน้าอะไร...ไม่เห็นมีรายใหญ่ที่กักตุนหน้ากาก ขนคนข้ามชายแดน ...blah blah...เข้าคุกจริง ซักราย.....มีแต่ปลาซิวปลาสร้อย.............ที่ลาว ..สองสาวพาคนไทยข้ามแดน..ไม่ถึงเดือน หลังรักษาหาย..ส่งตัวเข้าคุกด้วยโทษสูงสุดไปแล้ว ที่กัมพูชา ท่านสมเด็จฮุนเซนก็บังคับใช้กฎหมายเด็ดขาด ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึง....หันมาดูบ้านเรา ขนาดความผิดเห็นชัด ๆ ตั้งกรรมการสอบแล้วสอบอีก ห้าปีสิบปี ยังไม่มีคำตอบ ยิ่งตำแหน่งใหญ่ ๆ รับรองได้สอบกันจนตายไปข้างหนึ่ง ก็ไม่มีบทสรุป.....หัวหน้าทีมผู้บังคับใช้กฎหมายสูงสุดของแต่ละหน่วยงาน ...ทราบแล้วเปลี่ยน..อนาคตประเทศไทย อยู่ในมือท่านโดยตรง...ไม่ใช่นายกคนเดียว......ส่วนใหญ๋ผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดของแต่ละหน่วยงานเหล่านี้ อยู่ไม่นานก็เกษียณอายุแล้ว....น่าจะใช้โอกาสนี้ทำตัวเป็นวีรบุรุษ มากกว่าประคองเก้าอี้รอเกษียณ
(๖) มาตรการที่ออกมา ต้องไม่ทำให้เด็กดี ที่ทำตามกฎระเบียบ เดือดร้อนไปด้วย ...แถมยังปล่อยให้เด็กดื้อได้ใจ ไม่โดนลงโทษ.....คนทำถูกกฎกลายเป็นแพะรับบาป หมดทางทำมาหากินสุจริต....ไม่เชื่อลองไปถามดารา นักร้อง เจ้าของร้านอาหาร ดูได้
(๗) หลังจบโควิด ..ไม่รู้ระบบประกันสุขภาพ(บัตรทอง) จะเป็นยังไง ...รัฐจะอุ้มไหวหรือไม่...ดีนะดีแน่......แต่รัฐต้องหาเงินมาพยุงระบบไม่ให้ล้ม ซึ่งตัวเลขค่าใช้จ่ายน่าจะถีบตัวขึ้นหลักสองหรือสามแสนล้านบาทต่อปีในอีกไม่กี่ปีนี้ี้....วิกฤตคราวนี้ชี้ชัดแล้วว่า "ค่าใช้จ่ายสำหรับรักษาพยาบาล" นั้นเป็นเรื่องใหญ่ ที่ทุกคนควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบ...น่าจะพอกันทีกับคำว่า "ฉันจ่ายภาษีผ่านทาง VAT แล้ว"......ค่าใช้จ่ายนี้ี่มีการถีบตัวสูงขึ้นแบบ exponential เช่นเดียวกับอัตราการติดเชื้อโควิด.......จะเก็บภาษีเพิ่ม? หรือลดมาตรฐานการรักษาลง? ให้รพ.เร่รับบริจาคต่อไปเหมือนที่เป็นมา? ...เอะใจหรือไม่ว่าทำไมรพ.ในต่างประเทศถึงไม่ต้องเร่รับบริจาคเหมือนบ้านเรา....คาดว่าหลังเหตุการณ์นี้ระบบสุขภาพไทยอาจต้องปรับตัวให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรงกับค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพมากขึ้น เพื่อความอยู่รอดและคงไว้ซึ่งมาตรฐานของระบบ
เอวัง...Thai Fight.....
**ข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Methee wong