xs
xsm
sm
md
lg

โควิดให้รอดแล้วค่อยรบกัน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ตอนนี้ดูเหมือนสถานการณ์การระบาดของโควิดจะถาโถมมายังภูมิภาคอาเซียนจนกลายเป็นศูนย์กลางของการระบาดทั้งในอินโดนีเซีย มาเลเซีย และไทย ระบบสาธารณสุขของทุกประเทศกำลังหมดแรงที่จะรับผู้ป่วยที่มียอดในแต่ละวันสูงขึ้น จนเกิดภาวะขาดแคลนเครื่องช่วยหายใจ และห้องไอซียูที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วยอาการหนัก จนหมอต้องเลือกว่าควรจะช่วยชีวิตใคร

อินโดนีเซียมียอดผู้ป่วยวันละกว่า 40,000 คน และเสียชีวิตวันละกว่าพันคน มาเลเซียที่มีประชากรครึ่งหนึ่งของไทย มีผู้ติดเชื้อสูงวันละกว่า 15,000 คนต่อเนื่องกันมานาน และมีผู้เสียชีวิตนับร้อยคนต่อวัน เช่นเดียวกับประเทศไทยที่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อวันละประมาณ 15,000 คนและเสียชีวิตนับร้อยคนต่อวัน ในขณะที่เวียดนาม พม่า และฟิลิปปินส์ก็อยู่ในสถานการณ์ที่หนักพอๆ กัน

ถ้าเอาตัวเลขผู้เสียชีวิตและมาก่นด่าว่า เป็นรัฐบาลฆาตกรแบบที่มีการส่งเสียงในประเทศเรา ทุกประเทศก็คงเป็นรัฐบาลฆาตกรกันหมด เกือบทั้งโลกมีคนนอนรอโรงพยาบาลมีคนตายมากจนเผาและฝังศพกันแทบไม่ทัน

เราต้องยอมรับความจริงว่า การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดนั้น เป็นวิบัติใหม่ที่เหนือการคาดการณ์ของมนุษย์ ไม่เคยมีใครคิดมาก่อนว่า ปรากฏการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นจนทำความเสียหายไปทั่วโลก ไม่มีใครรู้หรอกว่า การรับมือแบบไหนที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด

และทางออกเท่าที่คิดและพูดเหมือนกันก็คือ ต้องฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด แต่นั่นจะเป็นทางออกจริงๆ หรือไม่ยังไม่รู้ เพราะปรากฏว่า ไม่ว่าแต่ละประเทศจะฉีดวัคซีนสูตรไหน ก็พบว่า ยังไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้เหมือนกันหมด ประเทศอิสราเอลที่ประชากรส่วนใหญ่ฉีดวัคซีนแล้วก็ยังมีการติดเชื้อวันละกว่าพันคน ดีที่สุดที่พูดกันก็คือ การฉีดวัคซีนอาจช่วยให้การเสียชีวิตน้อยลงเท่านั้นเอง

แต่จนถึงขณะนี้ก็มีผู้เสียชีวิตทั้งโลกรวมกันแล้วกว่า 4 ล้านคน โดยเสียชีวิตเพิ่มขึ้นวันละ 6,000-7,000 คน มีเพียงไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ดี นั่นรวมถึงประเทศจีนที่เป็นจุดเริ่มต้นของการระบาดโดยมีเครื่องมือคือความเด็ดขาดของรัฐบาลและวัคซีนเชื้อตายที่ถูกด้อยค่าในประเทศไทย

ในขณะที่ประเทศที่มีวัคซีน mRNA ที่คนไทยส่วนหนึ่งเรียกว่าวัคซีนเทพอยู่ในมือ อย่างสหรัฐฯ ฉีดครบโดสแล้ว 163 ล้านคน คิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีผู้ติดเชื้อวันละกว่า 50,000 คน สหราชอาณาจักร ฉีดครบโดส 37 ล้านคน คิดเป็น 55 เปอร์เซ็นต์ แต่ยังมีคนติดเชื้อวันละกว่า 30,000 คน

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทุกประเทศในอาเซียนรอคอยก็คือวัคซีนอยู่ดี แต่เป็นที่รู้กันว่า ตอนนี้วัคซีนส่วนใหญ่ตกอยู่ในมือของประเทศร่ำรวยไม่กี่ประเทศ ไม่รู้เหมือนกันว่า ประเทศที่ขาดแคลนวัคซีนอื่นๆ นั้นจะถูกทำให้เป็นปัญหาการเมืองเหมือนกับในประเทศเราหรือไม่ หรือเข้าใจว่ามันเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นเหมือนกันทั่วโลก

วัคซีนเป็นตลาดของผู้ขาย ความต้องการวัคซีนมีมากกว่ากำลังการผลิตทั่วโลก และในปีนี้ประเทศที่ร่ำรวยกว่าได้ทำข้อตกลงกับผู้ผลิตวัคซีนชั้นนำแล้วเพื่อสำรองโดสไว้หลายพันล้านโดส ซึ่งหมายความว่าประเทศที่มีรายได้น้อยอาจต้องรอจนถึงปี 2023 หรือ 2024 ก่อนจึงจะได้รับการเข้าถึงวัคซีนอย่างแพร่หลาย มีทางเดียวที่จะเข้าถึงวัคซีนได้รวดเร็วคือ การพึ่งพาวัคซีนจีนที่คนไทยส่วนหนึ่งด้อยค่าจนขาดความน่าเชื่อถือ

ภาวการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศของเราและทั่วโลกนั้น ทำให้มองเห็นถึงความจำเป็นที่คนทุกคนในแต่ละชาติจะต้องร่วมมือกันเพื่อให้ประเทศของตัวเองรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ให้ได้

แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่เราประสบในประเทศไทย บางคนสะท้อนออกมาราวกับว่า วิกฤตครั้งนี้มันเกิดขึ้นในประเทศไทยเพียงประเทศเดียว เหมือนกับไม่รับรู้เลยว่ามันเกิดเหมือนกันทั่วโลก

แน่นอนการนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนั้น สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพที่น่ากังขาว่า จะสามารถนำพาเราให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้ได้หรือไม่ และพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลที่มีหน้าที่ดูแลด้านสาธารณสุขก็ดูเหมือนจะช่วงชิงการนำกับพรรคแกนนำจนกลายเป็นปัญหาการเมืองไป

ขณะที่พรรคฝ่ายค้านก็ไม่เห็นการวิพากษ์วิจารณ์ที่สร้างสรรค์หรือเสนอแนะที่เป็นประโยชน์เพื่อหาทางออกมากกว่า การวิพากษ์วิจารณ์เชิงล้มล้างที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองมากกว่า จนดูเหมือนว่า ยิ่งรัฐบาลผิดพลาดเท่าไหร่ และส่งผลกระทบต่อวิกฤตการณ์ให้หนักขึ้นเท่าไหร่ก็เป็นความสุขของพรรคฝ่ายค้าน

ส่วนม็อบและกลุ่มคนที่ต่อต้านรัฐบาลชุดนี้ก็ยังคงออกมาชุมนุม เหมือนไม่รู้เลยว่า ภาวะแบบนี้นั้นจะต้องร่วมมือร่วมใจกันอย่างไรเพื่อให้ประเทศรอดปลอดภัยเสียก่อน

แน่นอนดูเหมือนเราจะเอาตัวไม่รอดจากการพึ่งพาศักยภาพของรัฐบาลในการรับมือกับสถานการณ์โควิดแน่ๆ รัฐบาลมีปัญหามากมายที่สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดในการรับมือกับสถานการณ์ การออกนโยบายที่สร้างความสับสน แต่ถามว่าในสถานการณ์แบบนี้นั้น เราควรจะร่วมมือร่วมใจกันแก้ปัญหาเพื่อให้ชาติและประชาชนอยู่รอดมากกว่าการช่วงชิงด้วยชั้นเชิงทางการเมืองหรือไม่

ขณะนี้ระบบสาธารณสุขที่เคยได้ชื่อว่าเข้มแข็งระดับโลกของเรานั้นกำลังประสบกับวิกฤตแล้ว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่มีเตียงและเครื่องมือแพทย์ที่จะช่วยเหลือคนอาการหนักให้รอดชีวิตอีกแล้ว ในขณะที่ต่างจังหวัดก็กำลังเข้าขั้นวิกฤตเช่นเดียวกัน เพราะมีตัวเลขผู้ป่วยพุ่งขึ้นสูงมากอย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะยิ่งขึ้นอย่างหาจุดสูงสุดยังไม่เจอ ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาล ไม่ว่าเราจะเกลียดหรือรักรัฐบาลชุดนี้ เรามาช่วยกันหาทางออกและร่วมมือร่วมใจเพื่อช่วยกันแก้ไขวิกฤตการณ์ครั้งนี้ให้ผ่านพ้นไปไม่ดีหรือ

อย่าปล่อยให้ภาระตกอยู่กับรัฐบาลฝ่ายเดียว อย่าปล่อยให้ภาระตกอยู่ในมือของบุคลากรทางการแพทย์ฝ่ายเดียว แต่นี่เป็นสงครามที่เกิดขึ้นกับประเทศชาติของเราที่ทุกคนทุกฝ่ายต้องช่วยกันไม่แต่ในประเทศของเรา แต่ต้องร่วมมือร่วมใจจากทุกคนที่อยู่บนโลกใบนี้นั่นแหละ

อย่าเข้าใจนะครับว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือรัฐบาลที่กำลังย่ำแย่ แต่ต้องการช่วยเหลือประเทศชาติและคนไทยทุกคนให้รอดพ้นมากกว่า หลังจากนั้นเมื่อเราสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้และรอดพ้นจากวิกฤตแล้ว ใครจะออกมาถล่มรัฐบาลอย่างไรก็เชิญเลย ยิ่งตอนนี้รัฐบาลมีความผิดพลาดมากอยู่แล้วก็เก็บเป็นหลักฐานเอาไว้เพื่อถล่มให้จมดินหลังจากนี้

อาจจะมีคนไม่เห็นด้วยและมองว่า ทางออกที่จะแก้ปัญหานั้นคือ ต้องให้พล.อ.ประยุทธ์ลาออกไป แล้วหาคนที่มีความสามารถมากกว่ามาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่เช่นนั้นเราจะไม่รอดจากวิกฤตครั้งนี้ แต่เราก็ต้องตั้งสติคิดนะครับว่า พล.อ.ประยุทธ์จะยอมลาออกหรือ โครงสร้างอำนาจและเงื่อนไขรัฐธรรมนูญที่เขาเขียนเอาไว้นั้นมันเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหนมากกว่ากัน

เมื่อการลาออกของพล.อ.ประยุทธ์ยากจะเกิดขึ้น ลองคิดต่อไปสิว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นเราควรจะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์กันก่อนหรือมุ่งหวังเป้าหมายในการล้มล้างทางการเมืองอย่างเดียว

ช่วยกันคนละไม้คนละมือเพื่อให้เรารอดก่อนดีไหม ละทิ้งการเมืองเพื่อการทำลายล้างไว้ข้างๆ แล้วมาร่วมมือร่วมใจกันในฐานะคนไทยเพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตครั้งนี้

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น