xs
xsm
sm
md
lg

ไม่ด่าประยุทธ์แล้วจะด่าใคร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



หลังประกาศกึ่งล็อกดาวน์ในช่วงตีหนึ่ง เสียงก่นด่ารัฐบาลก็อึงคะนึงไปทั่วในโซเชียลมีเดีย มีการเพิ่มมาตรการมาอีกหลายอย่างโดยเฉพาะห้ามนั่งทานในร้านอาหาร ห้ามรวมตัวกันเกิน 20 คน ฯลฯ หลังจากก่อนหน้านั้นบอกว่าจะปิดแคมป์คนงาน แต่ไม่ปิดทันที คนงานก็ชิงย้ายออกจากแคมป์ไปหมด กลายเป็นเชื้อแพร่กระจายไปหลายจังหวัด

คิดถึงใจเขาใจเราก็พยายามเข้าใจคนงานนะครับ ตราบใดที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองติดเชื้อก็ต้องเชื่อว่ายังไม่ติดไว้ก่อน ถ้าอพยพออกไปได้ยังไงก็ต้องขอกลับต่างจังหวัดไปตายเอาดาบหน้า จะนอนรอในแคมป์อุดอู้กั้นด้วยสังกะสีทั้งวันทั้งคืนนานเป็นเดือนนั้นคงไม่น่าจะภิรมย์นักแม้รัฐบาลรับปากจะส่งข้าวส่งน้ำให้ก็ตาม

ตอนนี้ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ในกรุงเทพฯ นั้นหนักหนาแล้วคุยกับเพื่อนที่เป็นหมอและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขหลายคนก็บอกผมว่า ตอนนี้เตียงไม่พอแล้ว ห้องฉุกเฉินไม่สามารถรับมือไหว มีคนรอเข้าคิวจำนวนมาก และผู้ติดเชื้อหลายคนยังตกค้างอยู่ที่บ้าน

ปัญหาสำคัญที่สุดก็คือวัคซีนมาล่าช้ามาก และดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลคาดหวังไว้ว่าหลังวันที่ 7 มิถุนายนที่เราดีเดย์เริ่มฉีดครั้งใหญ่นั้น เราจะสามารถฉีดได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพูดถึงประสิทธิภาพของวัคซีนอย่างซิโนแวคที่หมอหลายคนออกมาพูดว่าจะต้องฉีดเข็ม 3 ในขณะที่บางคนยังไม่ได้ฉีดเลยแม้แต่เข็มแรก และรวมถึงความอึมครึมของการดีลวัคซีนกับแอสตร้าเซนเนก้า และคำถามว่า ทำไมไม่เลือกวัคซีนตัวอื่นที่ดีกว่า หรือทำไมฟิลิปปินส์ อินโดนีเซียเขาออกข่าวว่า ดีลไฟเซอร์สำเร็จและกำลังจะได้รับเร็วๆ นี้

ทั้งหมดล้วนแล้วมีคำถามมาถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงแต่ผู้เดียว โดยเฉพาะผลกระทบต่อร้านอาหารที่รัฐบาลเพิ่งเปิดให้นั่งทานได้ไม่นาน ไม่มีใครพยายามเข้าใจว่า เพราะสถานการณ์ที่มันหนักขึ้นก็ต้องปรับเปลี่ยนนโยบายไปตามความเป็นจริง ณ เวลานี้

ไม่รู้เหมือนกันว่า สถานการณ์ทั่วโลกเป็นอย่างไรบ้าง คนน่าจะด่ารัฐบาลของตัวเองเหมือนกันหมดหรือไม่ เข้าไปดูในมาเลเซียเพื่อนบ้านเราที่ติดเชื้อใกล้จะ 8 แสนแล้ว มีคนติดเพิ่มวันละ 5,000 คนบวกลบมายาวนานต่อเนื่อง ก็พบว่าคนมาเลย์ก็ด่ารัฐบาลตัวเองเหมือนกัน แฮชแท็ก #kerajaangagal(รัฐบาลล้มเหลว) ได้รับความนิยมในทวิตเตอร์เป็นเวลานานหลายเดือน

มหาเธร์ซึ่งพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้วออกมาโจมตีนายมุฮ์ยิดดิน ยัซซิน กำลังพามาเลเซียเผชิญกับวิกฤต 4 อย่างพร้อมกันคือ สุขภาพ การเงิน การเมือง และสังคม นี่คือรัฐบาลที่ล้มเหลว ในขณะที่คนออสเตรเลียด่านายกรัฐมนตรีของตัวเองว่า useless dickhead

ผมคิดว่าสถานการณ์ในประเทศของเขาก็คงไม่ต่างกับบ้านเรา ประเทศอื่นไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ที่มีคนติดอยู่วันละ 6,000 คนบวกลบ หรืออังกฤษที่ตัวเลขกลับมาติดเชื้อวันละกว่าหมื่นคน รัฐบาลก็คงถูกประชาชนก่นด่าเหมือนกัน แม้ว่าเรื่องโควิดจะเป็นเรื่องใหม่ของโลกที่ผู้นำทุกชาติต่างก็เป็นมือใหม่หัดขับในการแก้ปัญหาทั้งนั้น

แต่ยอมรับนะครับว่า สำหรับบ้านเราหลายครั้งการตัดสินใจที่สับสนอลเวงของรัฐบาล และหน่วยงานรัฐอื่นที่ขัดกันไปมาก็ยิ่งสร้างความสับสนให้กับประชาชน โดยเฉพาะเมื่อคนส่วนใหญ่ต่างก็อยู่ในภาวะที่ตึงเครียดอยู่แล้ว ยิ่งมีความอ่อนไหวมากเป็นธรรมดา

ตอนนี้คนส่วนใหญ่ไม่มีความหวังเลยว่า เราจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติเมื่อไหร่ เราจะต้องอยู่ไปภายใต้ความกดดันนี้อีกนานไหม โดยเฉพาะคนที่หาเช้ากินค่ำหรือคนที่ไม่มีเงินเดือนประจำ คนทำธุรกิจค้าขายดูเหมือนว่า พวกเขาไม่มีอนาคตและเห็นแสงสว่างรออยู่ข้างหน้าเลย มีใครจะบอกได้บ้างว่าอีกกี่เดือนโควิดจะหายไป แม้กระทั่งหมอต่างๆ ก็ออกมาพูดขัดแย้งกันไปมา เพราะหมอก็ต่างเป็นมือใหม่สำหรับโควิดเหมือนกันทุกคน

ก็ต้องคอยดูนะครับว่ามาตรการที่รัฐบาลนำมาใช้นั้น จะส่งผลในด้านบวกหรือไม่หลังจากหนึ่งเดือนที่จะให้มีมาตรการปิดแคมป์คนงาน ห้ามนั่งทานในร้านอาหารว่านั่นเป็นต้นเหตุจริงๆ หรือไม่ ถ้าใช่ตัวเลขก็น่าจะลดลง แต่ถ้าไม่ใช่ก็กลายเป็นว่ารัฐบาลเดินมาผิดทางเสียงก่นด่าก็ต้องกลับไปที่รัฐบาลอีก

แน่นอนว่าฝ่ายที่ตรงข้ามรัฐบาลนั้นเขาถือโอกาสนี้ในการโจมตีถึงความล้มเหลวในการแก้ปัญหาของรัฐบาลอยู่แล้ว ไม่ว่าจะทำอย่างไรรัฐบาลประยุทธ์ก็ทำไม่ถูกไปเสียทุกด้าน บางคนพูดเหมือนแกล้งไม่รู้ว่า วิกฤตโควิดนี้เกิดขึ้นทั่วโลกไม่ใช่ประเทศไทยอย่างเดียว ปัญหาวัคซีนก็ขาดแคลนเหมือนกันหมดยกเว้นชาติยักษ์ใหญ่ที่มีพละกำลังมากกว่า

เริ่มมีการพูดกันว่า ตอนนี้ถ้าคนโน้นคนนี้ที่ไม่ใช่พล.อ.ประยุทธ์มาบริหารบ้านเมือง เราจะไม่ประสบปัญหาแบบนี้ จะสามารถแก้ไขได้ดีกว่า จนเกิดการเปรียบเทียบเพื่อบั่นทอนด้อยค่ารัฐบาลนี้ แม้เราไม่รู้หรอกว่าถึงเวลาจริงๆ แล้วคนที่ว่าเหล่านั้นจะแก้ปัญหาได้ดีกว่าพล.อ.ประยุทธ์ไหม

แต่ปัญหาที่รัฐบาลประยุทธ์ต้องสำเหนียกก็คือ เวลานี้คนที่เคยเชียร์รัฐบาลเขาก็เริ่มจะไม่มีความหวังว่ารัฐบาลนี้จะนำพาประเทศไปรอดหรือไม่ คนเขาเริ่มอึดอัดกับการตัดสินใจและแสดงออกผ่านอารมณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ถึงภาวะการเป็นผู้นำในแต่ละช่วงลีลาที่ผิดเวล่ำเวลาขัดแย้งกับสถานการณ์เช่น การแสดงอารมณ์ขันชูสองนิ้วชัยชนะ ในขณะที่สถานการณ์กำลังตึงเครียดและไร้ความหวัง

นอกจากนั้นยังโชคดีที่ตอนนี้ม็อบต่างๆ ที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น ไม่ได้รับเสียงตอบรับจากประชาชนในเชิงปริมาณ ไม่ใช่เพราะเขาพอใจรัฐบาลนี้หรอก แต่เพราะสถานการณ์โควิดนั่นแหละที่เป็นตัวช่วย

และอาจจะโชคดีอยู่บ้างที่ความขัดแย้งมายาวนานนั้น ทำให้คนบางฝ่ายมองว่าพล.อ.ประยุทธ์ยังมีความจำเป็นในสถานการณ์ความมั่นคงของสถาบันต่างๆ หรือความกลัวฝ่ายตรงข้ามจะเข้ามามีอำนาจจนมองไม่เห็นว่าจะมีใครที่ดีไปกว่าพล.อ.ประยุทธ์แม้จะรู้ว่าจะมีศักยภาพอันจำกัด

ขณะเดียวกันก็ต้องคิดให้ได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์อยู่ในอำนาจมา 7 ปีแล้ว การวางองคาพยพและมือไม้ในการทำงานในหน่วยงานต่างๆ นั้นไม่มีเงื่อนไขจำกัดที่ถูกรัฐบาลเก่าวางเอาไว้อีกแล้ว ดังนั้นไม่มีเหตุผลอื่นเท่ากับว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความสามารถมีศักยภาพพอที่จะนำพาประเทศนี้ไปข้างหน้ามั้ย

แม้ว่าโควิดจะเป็นเรื่องใหม่ของโลกอย่างที่ว่ามาก็จริง แต่ความเป็นผู้นำแม้จะมีความจำกัดในตัวเองก็จะต้องมีวิสัยทัศน์ที่จะใช้คนให้ถูกงาน และหาทางออกให้ประเทศให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นก็จะต้องถอยตัวเองออกมาเพื่อให้คนที่มีความสามารถเขาเข้าไปทำงาน

ถามว่าเห็นใจพล.อ.ประยุทธ์ไหมก็ต้องบอกว่าเห็นใจนะครับ เพราะไม่ว่าจะทำอย่างไรมีมาตรการอะไรออกมาก็ต้องมีคนด่า ไม่ทำอะไรก็มีคนบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้ คนพูดคนวิจารณ์นั้นมันง่ายกว่าคนทำอยู่แล้ว แต่การเป็นผู้นำก็ต้องยอมรับฟังเสียงติติงเหล่านี้ แล้วพิสูจน์ให้ได้ว่าที่ตัดสินใจนั้นมาถูกทางแล้ว

แต่ถ้าเป็นผู้นำแล้วรับฟังเสียงติติงไม่ได้ ก็ควรจะต้องถอยออกไปให้คนอื่นเขามาทำ

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น