สถานการณ์โควิดช่วยให้สถานการณ์การเมืองของรัฐบาลผ่อนคลายลงก็จริง แต่ก็ต้องยอมรับด้วยว่า วิกฤตความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรานั้นยังคงอยู่ และวันนี้เปลี่ยนจากความขัดแย้งระหว่างคนเมืองกับชนบท ชนชั้นกลางกับชนชั้นล่าง มาเป็นความขัดแย้งของคนต่างรุ่น
กีฬาสีทางการเมืองนั้นยังคงอยู่ แต่คนเสื้อแดงได้แนวร่วมของคนรุ่นใหม่เข้ามาสืบสานภารกิจ เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ยอมรับรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร พวกเขาถูกสอนให้เข้าใจเรื่องประชาธิปไตยที่มีกรอบว่า อำนาจรัฐนั้นต้องมาจากอำนาจของประชาชนผ่านการเลือกตั้ง ความชอบธรรมในสายตาของพวกเขาจึงอยู่ที่รัฐบาลของระบอบทักษิณ โดยไม่ได้ใส่ใจว่าในระหว่างที่อยู่ในอำนาจรัฐบาลของระบอบทักษิณได้ใช้อำนาจอย่างชอบธรรมหรือไม่
พวกเขาคิดเพียงว่า รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนนั้น จะต้องถูกตัดสินโดยประชาชนเท่านั้น ถ้ารัฐบาลที่ไม่ดีประชาชนก็ไม่ต้องเลือกเข้ามาอีก ซึ่งเป็นความหมายในอุดมคติของระบอบประชาธิปไตยที่เชื่อว่า ประชาชนจะต้องเลือกคนที่ดีเข้ามาปกครองตัวเอง แต่ในโลกของความเป็นจริงความเข้าใจนี้ก็ถูกพิสูจน์ว่า ไม่จริง และที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ ประชาชนกลุ่มหนึ่งบอกว่า พวกเขารับรัฐบาลที่ฉ้อฉลได้ ถ้าพวกเขาได้ประโยชน์ด้วย
วันนี้คนจำนวนมากจึงยังโหยหาทักษิณและรัฐบาลของทักษิณ เมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี
แม้วิกฤตโควิดจะทำให้พล.อ.ประยุทธ์วางใจจากวิกฤตทางการเมืองไปได้บ้าง แต่ด้านหนึ่งมันก็พิสูจน์ถึงความสามารถในการบริหารประเทศในสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีใครรู้หรอกว่าการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแบบนี้จะต้องรับมืออย่างไร ใครต่อใครต่างก็เป็นมือใหม่หัดขับกันทั้งนั้น และไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่มีวันถูกใจใครทั้งหมด แน่นอนสิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์กระทำนั้นผิดทุกเรื่องในสายตาของคนที่ไม่ชอบรัฐบาลชุดนี้
และแน่นอนฝ่ายตรงข้ามพากันแช่งให้รัฐบาลประสบความล้มเหลว โดยไม่ใส่ใจว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศชาติและส่วนรวมอย่างไร เชื่อเถอะว่า ความขัดแย้งทางการเมืองมันสุดขั้วจนทำให้มีอารมณ์แบบนั้นเกิดขึ้น ไม่มีหรอกที่จะหาความรู้สึกร่วมมือร่วมใจของความเป็นชาติเพื่อช่วยกันให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์วิกฤต
เป็นธรรมดาคนที่ทำนั้นมีโอกาสจะผิดพลาดมากกว่าคนที่จ้องจะหาเรื่องจับผิด
แต่ต้องยอมรับเช่นกันว่าการแก้ปัญหาโควิดของรัฐบาลมีความบกพร่องไม่น้อย เช่น รัฐบาลรู้อยู่แล้วว่าเรามีวัคซีนในมือเท่าไหร่ แต่กลับปล่อยให้แต่ละฝ่ายต่างเอา วัคซีนไปเพื่อหวังผลทางการเมือง
ต้องยอมรับว่ามีการแย่งซีนกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง จากที่ตั้งเป้าหมายว่าในวันที่ 7 มิถุนายนจะเริ่มฉีดให้ผู้สูงอายุกับผู้ป่วย 7 โรค เราก็ปล่อยให้รัฐมนตรีว่าการแรงงานแย่งไปฉีดให้ผู้ประกันตนในครือข่ายประกันสังคม และกทม.ไปฉีดให้คนทั่วไปผ่านเว็บไทยร่วมใจ สุดท้ายก็ไม่มีวัคซีนพอที่จะฉีดให้กับผู้สูงอายุและคนที่ลงทะเบียนผ่านหมอพร้อม และยังมีข่าวว่าฉีดกันสะพัดในเมืองที่เป็นฐานเสียงของรัฐมนตรีสาธารณสุข
ฝ่ายตรงข้ามเลยโจมตีเลยว่า ถ้าเป็นรัฐบาลของทักษิณจะบริหารได้ดีกว่านี้ ทั้งที่จริงแล้วไม่รู้หรอกว่าจะดีกว่าจริงไหม หรือสุดท้ายก็คงจะทำนองเดียวกัน เพราะทักษิณนั้นมีแนวคิดอยู่แล้วว่า จังหวัดไหนที่เลือกพรรคของเขาจะได้รับการดูแลก่อน ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่ที่วันนี้หันมาชื่นชอบทักษิณ เพราะได้รับการบอกเล่าว่า ทักษิณเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะรับรู้ไหมว่านี่ไม่ใช่ความหมายที่ถูกต้องของประชาธิปไตย
การอธิบายว่ารัฐบาลทักษิณมาจากคน 12 ล้าน รัฐบาลยิ่งลักษณ์มาจากคน 16 ล้าน ดังนั้นไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นความชอบธรรมนั้นคงจะไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ทักษิณแก้กฎหมายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเอง หรือยิ่งลักษณ์ ใช้เสียงข้างมากเพื่อฟอกความผิดให้กับทักษิณ ยังไม่ต้องพูดถึงนโยบายอื่นที่กระทำอย่างฉ้อฉลอีกจำนวนมาก เราจะบอกว่า การใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล (Abuse of Power) นั้น เป็นข้อยกเว้นของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนไม่ได้
แต่การต่อต้านรัฐบาลประยุทธ์ในฐานะรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจของคนรุ่นใหม่ไม่ใช่เรื่องที่ผิดนะ การเรียกร้องรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด การต่อต้านรัฐประหารและไม่ยอมรับกระบวนการของรัฐประหารก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด และการเกลียดชังเผด็จการเป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ต้องไม่ใช่การยอมเป็นเครื่องมือของรัฐบาลที่ฉ้อฉลแม้จะมาจากการเลือกตั้งของประชาชน หรือเป็นเครื่องมือของการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง
และต้องไม่ดูหมิ่นดูแคลนหยามเหยียดประชาชนที่มีความคิดทางการเมืองต่างกับตัวเอง เพราะคนอีกฝั่งเขาย่อมจะมีความชอบธรรมที่จะออกมาขับไล่รัฐบาลที่ไม่มีความชอบธรรมเช่นเดียวกัน และนี่เป็นคุณค่าของระบอบประชาธิปไตย
ไม่รู้ว่าคนรุ่นใหม่รู้ไหมว่า นอกจากนักวิชาการและอาจารย์มหาวิทยาลัยที่พร่ำสอนให้เราเกลียดเผด็จการและรัฐประหารนั้น พวกเขามีเจตคติที่แท้จริงอย่างไร พวกเขาบูชาทักษิณ เพราะเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆ หรือ หรือเพราะเขามองว่า ทักษิณมีพลังมากพอที่จะสั่นคลอนสถาบันพระมหากษัตริย์ที่พวกเขาชิงชังได้ เพราะเขาโกรธเคืองประชาชนอีกฝั่งที่ทำลายทักษิณ เพราะความนิยมของทักษิณกำลังพุ่งสูงและพวกเขาสามารถใช้ทักษิณนี่แหละเป็นเครื่องมือที่จะทำลายสถาบัน
วันนี้พวกเขาก็กำลังยืมมือของคนหนุ่มสาว หลังจากที่พวกเขาบ่มเพาะให้เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นส่วนเกินของระบอบประชาธิปไตย ทำให้คนรุ่นใหม่เชื่อว่า การสืบทอดอำนาจของกษัตริย์ที่มาจากสายเลือดนั้นไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่จริงแล้วสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งประเทศ และดำรงสถานะในฐานะประมุขที่ทำประโยชน์ให้กับประเทศชาติมากกว่านักการเมืองรวมกันทุกคน
แน่นอนไม่มีใครบีบบังคับให้ใครรักใครได้ ความรักย่อมเกิดจากความรู้สึกและซึมซับจากจิตใจของเราเองมากกว่าการสืบทอดต่อๆ กันมา ถ้าไม่รักก็คือไม่รักก็จงตั้งอยู่ในพรมแดนของตัวเอง แต่ไม่ใช่ไม่รักแล้วจะต้องทำลายความรักของบุคคลอื่น และแน่นอนถ้ากระทำเช่นนั้นก็จะถูกต่อต้านจากความที่เขารัก สิ่งที่จะตามมาก็คือความแตกแยกและความรุนแรง
คนรุ่นใหม่จะต่อต้านรัฐประหาร จะเรียกร้องประชาธิปไตยก็ทำไปเถอะ แต่ต้องถอยห่างจากการเป็นเครื่องมือของคนที่แวดล้อมทักษิณที่จะใช้คนรุ่นใหม่เป็นเครื่องซักฟอกว่า รัฐบาลทักษิณเป็นรัฐบาลที่ดีเพราะมาจากประชาธิปไตย ต้องย้อนกลับไปดูการใช้อำนาจของทักษิณในระหว่างที่มีอำนาจด้วย ไม่ใช่อ้างเพียงว่าทักษิณมาจากประชาชน
การที่คนรุ่นใหม่หรือคนหนุ่มสาวในมหาวิทยาลัยคนที่เพิ่งจบการศึกษามีความสนใจทางการเมืองย่อมจะเป็นสิ่งที่ดี การยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยความเท่าเทียมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ในระบอบประชาธิปไตยเราต้องเคารพและรับฟังความเห็นของคนอื่นด้วย
ความต้องการขับไล่รัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากการรัฐประหาร ย่อมมีความชอบธรรมแน่ แต่ต้องไม่เป็นเครื่องมือของฝ่ายประชาธิปไตยที่ใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลด้วย จึงจะมีความชอบธรรมที่แท้จริง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan