ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รัฐธรรมนูญเป็นกติกาสำคัญในการเข้าสู่อำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกติกาในการเลือกตั้งเป็นปัจจัยและเป็นประเด็นชี้ขาดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ
ในการแข่งขันใด ๆ ก็ตาม การกำหนดกติกาในการแข่งขันนั้นถือว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่ง
ในหนังจีนกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก มีเหตุให้เตี่ยชุ่ยซัว บิดาของเตียบ่อกี้ ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ห้าแห่งสำนักบู๊ตึ๊งอันเป็นผู้เยาว์นักในยุทธภพต้องประลองฝีมือกับสิงห์ผมทอง 1 ใน 4 ผู้คุมกฎของนิกายเม้งก่าอันเป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ ในยุทธภพและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ด้วยความทะนงในฝีมือของตนเองที่สิงห์ผมทอง เจี่ยซุ่นนั้นมี เจี่ยซุ่นถึงขนาดกำหนดแต้มต่อยอมให้เตี่ยชุ่ยซัว กำหนดกติกาในการแข่งขันประลองได้ตามที่ผู้เยาว์ในยุทธภพนั้นต้องการ
แล้วจอมยุทธ์ห้าแห่งบู๊ตึ๊ง ก็กำหนดกติกาที่ทำให้ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุทธภพระดับต้น ๆ อย่างเจี่ยซุ่น ต้องยอมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ประลองแต่อย่างใด เพราะจอมยุทธห้าขอประลองแข่งขันในการใช้กำลังภายในจารึกอักษรด้วยกระบี่ลงบนแผ่นหินบนหน้าผา ซึ่งจอมยุทธห้าแห่งบู๊ตึ๊งนั้นทำได้ดีมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ทั้งในฝ่ายที่ใช้กำลังหรือที่เรียกว่าฝ่ายบู๊และในฝ่ายบุ๋นซึ่งไม่ใช้กำลัง เช่นการเรียนวิชาอักษรหรือภาษาจีน เป็นต้น
จอมยุทธห้าย่อมทราบดีว่าหากจะต้องประลองในวิชาที่ใช้แต่ฝ่ายบู๊อย่างเดียวโดยปราศจากสายบุ๋นนั้นตนเองย่อมไม่มีทางต่อสู้กับสิงห์ผมทองได้เลย
การกำหนดกติกาในการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
แม้สิงห์ผมทองจะมีฝีมือสูงส่งปานใดก็ตาม แต่ก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ตนเองไม่ถนัด
และที่สำคัญคือความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตนเองถึงขนาดที่ยอมเปิดโอกาสให้คู่ประลองแข่งขันกำหนดกติกาได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้
สิงห์ผมทองย่อมลืมไปว่า ผู้ที่มีปัญญาในการทำศึกนั้นหาได้ใช้กำลังแต่ฝ่ายเดียวในการชนะศึกไม่ หากจะใช้ปัญญาในการวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่ง แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นมาแปรผันเป็นกติกาในการประลองเพื่อให้ตนเองนั้นชนะได้อย่างง่ายดาย โดยเลือกประลองในสิ่งที่คู่แข่งนั้นมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
ความประมาทเลินเล่อและความทะนงตนของเจี่ยซุ่นนั้นทำให้จอมยุทธห้ากำหนดกติกาเพื่อให้ตนเองชนะได้โดยแทบไม่ต้องลงแรงและลงมือแต่อย่างใด และในความทะนงองอาจนั้นมีความซื่อตรงที่สิงห์ผมทองยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นจากการกำหนดกติกาโดยจอมยุทธ์ห้าอย่างน่านับถืออีกเช่นกัน
กติกาในการแข่งขันเลือกตั้งเพื่อเข้ามาสู่อำนาจรัฐนั้นมีผลต่อการเมืองเป็นอย่างยิ่ง
หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของรัฐธรรมนูญก็คือการกำหนดที่มาของการเข้าถึงอำนาจซึ่งรวมถึงกติกาในการเข้าถึงอำนาจรัฐซึ่งแน่นอนย่อมต้องเป็นการเลือกตั้งด้วย
พรรคพลังประชารัฐในเวลานี้เราสังเกตได้จากการลงมติพิจารณาร่างงบประมาณประจำปีที่เพิ่งผ่านไปเราพบว่าพรรคพลังประชารัฐสามารถผ่านงบประมาณด้วยคะแนนเสียงประมาณ 260 เสียงในขณะที่มีผู้ร่วมโหวตคัดค้านงบประมาณประจำปีเพียงแค่ 200 กว่าเสียงเท่านั้นแสดงให้เห็นว่ามีงูเห่าจำนวนมากมายในจำนวนนี้มี 10 กว่าคนที่เป็นส.ส. ฝ่ายค้าน แต่โหวตผ่านงบประมาณประจำปีให้กับฝ่ายรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำย่อมสำแดงให้เห็นว่าน่าจะมีการซื้อตัวสส. และมีพลังดูดพิเศษจากฝ่ายรัฐบาลทำให้ส.ส. ฝ่ายค้านสามารถแปรพักตร์มาเข้าข้างๆกับพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามได้เป็นจำนวนมาก
การมีเสียงที่เข้มแข็งเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบแล้วถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่าคิดมากที่สุดในเวลานี้ก็คือมีความพยายามในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง 2 ประการคือ
ประเด็นแรก ต้องการมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบจากเดิมซึ่งมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหมายความว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแยกออกจากกัน
แน่นอนว่าวิธีการนี้จะมีคะแนนจำนวนหนึ่งซึ่งถูกทิ้งน้ำและไม่ได้เป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าปันส่วนผสมอีกต่อไป
ประเด็นที่สอง คือการลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนลงเป็น 100 คนและเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คนเป็น 400 คน
กติกาทั้งสองนี้สำคัญมากและเราสามารถตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า แม้จะใช้กติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งแบบขาดลอยไม่
พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะการปัดเศษในการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอาจจะเป็นที่กังขาว่า กกต. ใช้วิจารณญาณอย่างอย่างไรในการตีความวิธีการปัดเศษดังกล่าว จนสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและอ้างว่าได้ popular vote สูงที่สุด
แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้นส่งลงสมัครน้อยมากเพราะหลีกทางให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ แต่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติมีอันเป็นไปจากการถูกยุบพรรคการเมืองไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากรวมจำนวน ส.ส.ที่พรรคไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติรวมตัวกันได้คะแนนเป็นที่ 1 ก็ได้
แม้ว่าภายหลังจากนั้นพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบและเกิดการย้ายข้างจำนวนมากมายเรียกว่ามีงูเห่าสีส้มงูเห่าอีกหลายสีย้ายเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง อื่น ๆ เช่น พรรคการเมืองแถวอีสานใต้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ชนะเลือกตั้งในกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 แต่อย่างใด
แม้ว่ารัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 นั้นจะกำหนดกติกาการเลือกตั้งที่น่าจะเอื้อต่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐอยู่พอสมควร ซึ่งกติกาดังกล่าว ได้แก่ การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและมีจำนวน ส.ส.เขตเพียง 350 คนและมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คนตลอดจนการที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกจำนวน 250 เสียงจะเป็นกติกาที่เอื้อต่อชัยชนะในการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะขาดลอยด้วยกติกาที่ตนเองเป็นผู้กำหนดไว้แต่อย่างใด
แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐกลับนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่มีกติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือกติกาในการเลือกตั้งเฉกเช่นรัฐธรรมนูญในปี 2540 ซึ่งมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและมีจำนวน ส.ส.เขตถึง 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 100 คน
กติกานี้เป็นกติกาที่เอื้อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่และเกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองหรือที่เราเรียกกันในทางวิชาการว่า political polarization ซึ่งจะทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยหรือพรรคปัดเศษไม่มีโอกาสได้เกิด และก็ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบปันส่วนผสมอีกต่อไป และเป็นการเอาคะแนนเล็กคะแนนน้อยนั้นเททิ้งน้ำไปให้หมด
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐจึงเสนอร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเป็นกติกาการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีข้อพิสูจน์แล้วว่าระบอบทักษิณจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และเข้ามาคุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนอาจจะเกิดเผด็จการรัฐสภาอีกรอบก็เป็นได้
พูดกันตามตรงรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะเอื้ออำนวยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างได้เปรียบพรรคการเมืองฝ่ายค้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาแต่อย่างใดการลงคะแนนมติต่างๆต้องใช้กำลังและการล็อบบี้อย่างหนัก
น่าสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐเอาความมั่นใจและความทะนงองอาจหรือความประมาทเลินเล่อใดมาตัดสินและคิดว่าการกำหนดกติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทักษิณชินวัตรหรือระบอบทักษิณเคยเอาชนะมาได้อย่างถล่มทลายนั้น จะทำให้ตนเองชนะหรือเข้าสู่อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับที่ระบอบทักษิณได้เคยกระทำมา
การที่พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและอาจจะมีทุนเพียงพอ เรียกว่าอาจจะมีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืนในการเลือกตั้ง จะมีกระแสบ้างเป็นบางส่วน อาจจะเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐประมาทเลินเล่อหรือทะนงองอาจในตนมากเกินไปหรือไม่ จนเปรียบเทียบได้กับสิงห์ผมทองที่หันไปเลือกกติกาศัตรูคือเตียชุ่ยซัวจอมยุทธ์ห้าแห่งบู๊ตึ๊งเอาชนะตนเองได้โดยง่าย ทั้งๆ ที่ตนเองได้เปรียบกว่าแทบทุกประการ
พรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าเหตุใดศัตรูในทางการเมืองของตนหรืออาจจะไม่ใช่ศัตรูแล้วจึงหันมาร่วมมือและต้องการกำหนดกติกาแบบเดียวกัน โดยที่เห็นดีเห็นงามด้วย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่าตนเองจะได้เปรียบในการเลือกตั้งและเข้าสู่อำนาจรัฐได้ง่ายหากเรื่องตั้งด้วยกติกาการเลือกตั้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขให้เป็นไปตามนี้
การลงไปเล่นในเกมที่เป็นกติกาหรือพื้นที่ที่เขาชำนาญกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก
หากมีการเลือกตั้งจริงแล้วด้วยกติกาซึ่งเป็นการเลือกตั้งมากถึง 400 เขตเลือกตั้ง ที่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงไปมากและเป็นเขตเลือกตั้ง 1 คน 1 เขตที่เลือกสสได้เพียง 1 คนก็จะทำให้อิทธิพลทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบหัวคะแนนหรือการจัดตั้ง ตลอดจนการใช้กระสุนเงินหรือการซื้อเสียงเลือกตั้งสามารถทำได้โดยง่ายขึ้น
ผมไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีฝีมือและความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 400 เขตได้เก่งเท่ากับพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยนั้นมีระบบหัวคะแนนที่แน่นหนามากและดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดมีฐานเสียงที่มั่นคงและมีลูกค้าขาประจำที่มีความรักต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่เสื่อมคลาย
ด้วยการกำหนดกติกาที่เอื้อกับศัตรูเช่นนี้ และเป็นกติกาที่ศัตรูทางการเมืองมีความชำนาญมากกว่ามากเพราะหลงทะนงตน คิดว่าตนมีทั้งอำนาจรัฐและอาจจะคิดว่าตนมีอำนาจเงินเรียกง่ายๆว่ามีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืน อาจจะมีกระแสร่วมด้วยนั้น เลยทำให้ประมาทเลินเล่ออย่างยิ่งและจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและระบบทักษิณก็จะกลับคืนมาครอบงำปกครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์
นี่คือคำพยากรณ์ผลการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นเช่นไรหากพรรคพลังประชารัฐยังพยายามดึงดันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของกติกาการเลือกตั้งให้เอื้อกับพรรคเพื่อไทยโดยที่หลงผิดคิดว่าตนเองจะได้ประโยชน์ต่อไปเช่นนี้
ว่าแต่ว่าเวลานี้ ศิริราชเตียงเต็ม ศิริราชปิยมหาราชการุณย์เตียงเต็ม รามาธิบดีเตียงเต็ม จุฬาลงกรณ์เตียงเต็ม มงกุฎวัฒนะเตียงเต็ม โรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินเตียงเต็ม ได้ทราบมาว่าแม้โรงพยาบาลเอกชนราคาแพงแสนแพงก็เต็มจนหมดแล้ว
เครื่องช่วยหายใจจะไม่พอแล้ว ต้องเลือกช่วยชีวิต ช่วยทุกคนไม่ได้
หมอ พยาบาล ทำงานกันจนเหนื่อยล้ามากที่่สุดแล้ว
โควิด -19 ระบาดหนักในกทม. และปริมณฑลมาก แต่ยังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสวนสถิติตัวเลขต่าง ๆ
ประชาชนทุกคน จงรักษาตัวเองให้ดี ห้ามป่วย ห้ามติดโควิด
มันใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะแก้รัฐธรรมนูญใช่หรือไม่?
สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
รัฐธรรมนูญเป็นกติกาสำคัญในการเข้าสู่อำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งกติกาในการเลือกตั้งเป็นปัจจัยและเป็นประเด็นชี้ขาดในการเข้าสู่อำนาจรัฐ
ในการแข่งขันใด ๆ ก็ตาม การกำหนดกติกาในการแข่งขันนั้นถือว่าเป็นประเด็นที่มีความสำคัญยิ่ง
ในหนังจีนกำลังภายในเรื่องดาบมังกรหยก มีเหตุให้เตี่ยชุ่ยซัว บิดาของเตียบ่อกี้ ซึ่งเป็นจอมยุทธ์ห้าแห่งสำนักบู๊ตึ๊งอันเป็นผู้เยาว์นักในยุทธภพต้องประลองฝีมือกับสิงห์ผมทอง 1 ใน 4 ผู้คุมกฎของนิกายเม้งก่าอันเป็นผู้อาวุโสระดับต้นๆ ในยุทธภพและมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทาน ด้วยความทะนงในฝีมือของตนเองที่สิงห์ผมทอง เจี่ยซุ่นนั้นมี เจี่ยซุ่นถึงขนาดกำหนดแต้มต่อยอมให้เตี่ยชุ่ยซัว กำหนดกติกาในการแข่งขันประลองได้ตามที่ผู้เยาว์ในยุทธภพนั้นต้องการ
แล้วจอมยุทธ์ห้าแห่งบู๊ตึ๊ง ก็กำหนดกติกาที่ทำให้ผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมในยุทธภพระดับต้น ๆ อย่างเจี่ยซุ่น ต้องยอมพ่ายแพ้โดยที่ยังไม่ได้ประลองแต่อย่างใด เพราะจอมยุทธห้าขอประลองแข่งขันในการใช้กำลังภายในจารึกอักษรด้วยกระบี่ลงบนแผ่นหินบนหน้าผา ซึ่งจอมยุทธห้าแห่งบู๊ตึ๊งนั้นทำได้ดีมาก เนื่องจากเป็นผู้ที่สนใจใฝ่หาความรู้ทั้งในฝ่ายที่ใช้กำลังหรือที่เรียกว่าฝ่ายบู๊และในฝ่ายบุ๋นซึ่งไม่ใช้กำลัง เช่นการเรียนวิชาอักษรหรือภาษาจีน เป็นต้น
จอมยุทธห้าย่อมทราบดีว่าหากจะต้องประลองในวิชาที่ใช้แต่ฝ่ายบู๊อย่างเดียวโดยปราศจากสายบุ๋นนั้นตนเองย่อมไม่มีทางต่อสู้กับสิงห์ผมทองได้เลย
การกำหนดกติกาในการแข่งขันจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
แม้สิงห์ผมทองจะมีฝีมือสูงส่งปานใดก็ตาม แต่ก็ย่อมมีจุดอ่อนที่ตนเองไม่ถนัด
และที่สำคัญคือความทะนงในความเก่งกล้าสามารถของตนเองถึงขนาดที่ยอมเปิดโอกาสให้คู่ประลองแข่งขันกำหนดกติกาได้ตามที่ใจปรารถนา เพราะเชื่อมั่นมากเกินไปว่าตนเองไม่มีทางพ่ายแพ้
สิงห์ผมทองย่อมลืมไปว่า ผู้ที่มีปัญญาในการทำศึกนั้นหาได้ใช้กำลังแต่ฝ่ายเดียวในการชนะศึกไม่ หากจะใช้ปัญญาในการวิเคราะห์จุดอ่อนของคู่แข่ง แล้วนำจุดอ่อนเหล่านั้นมาแปรผันเป็นกติกาในการประลองเพื่อให้ตนเองนั้นชนะได้อย่างง่ายดาย โดยเลือกประลองในสิ่งที่คู่แข่งนั้นมีจุดอ่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
ความประมาทเลินเล่อและความทะนงตนของเจี่ยซุ่นนั้นทำให้จอมยุทธห้ากำหนดกติกาเพื่อให้ตนเองชนะได้โดยแทบไม่ต้องลงแรงและลงมือแต่อย่างใด และในความทะนงองอาจนั้นมีความซื่อตรงที่สิงห์ผมทองยอมรับความพ่ายแพ้ที่เกิดขึ้นจากการกำหนดกติกาโดยจอมยุทธ์ห้าอย่างน่านับถืออีกเช่นกัน
กติกาในการแข่งขันเลือกตั้งเพื่อเข้ามาสู่อำนาจรัฐนั้นมีผลต่อการเมืองเป็นอย่างยิ่ง
หน้าที่สำคัญประการหนึ่งของรัฐธรรมนูญก็คือการกำหนดที่มาของการเข้าถึงอำนาจซึ่งรวมถึงกติกาในการเข้าถึงอำนาจรัฐซึ่งแน่นอนย่อมต้องเป็นการเลือกตั้งด้วย
พรรคพลังประชารัฐในเวลานี้เราสังเกตได้จากการลงมติพิจารณาร่างงบประมาณประจำปีที่เพิ่งผ่านไปเราพบว่าพรรคพลังประชารัฐสามารถผ่านงบประมาณด้วยคะแนนเสียงประมาณ 260 เสียงในขณะที่มีผู้ร่วมโหวตคัดค้านงบประมาณประจำปีเพียงแค่ 200 กว่าเสียงเท่านั้นแสดงให้เห็นว่ามีงูเห่าจำนวนมากมายในจำนวนนี้มี 10 กว่าคนที่เป็นส.ส. ฝ่ายค้าน แต่โหวตผ่านงบประมาณประจำปีให้กับฝ่ายรัฐบาลที่มีพรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำย่อมสำแดงให้เห็นว่าน่าจะมีการซื้อตัวสส. และมีพลังดูดพิเศษจากฝ่ายรัฐบาลทำให้ส.ส. ฝ่ายค้านสามารถแปรพักตร์มาเข้าข้างๆกับพรรคการเมืองฝั่งตรงข้ามได้เป็นจำนวนมาก
การมีเสียงที่เข้มแข็งเช่นนี้ส่วนหนึ่งมาจากการที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบแล้วถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปด้วยเช่นกัน
สิ่งที่น่าคิดมากที่สุดในเวลานี้ก็คือมีความพยายามในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ 2560 โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลง 2 ประการคือ
ประเด็นแรก ต้องการมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบจากเดิมซึ่งมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวหมายความว่าประชาชนสามารถใช้สิทธิ์เลือกตั้งได้ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.บัญชีรายชื่อแยกออกจากกัน
แน่นอนว่าวิธีการนี้จะมีคะแนนจำนวนหนึ่งซึ่งถูกทิ้งน้ำและไม่ได้เป็นการเลือกตั้งในระบบที่เรียกว่าปันส่วนผสมอีกต่อไป
ประเด็นที่สอง คือการลดจำนวน ส.ส.บัญชีรายชื่อจาก 150 คนลงเป็น 100 คนและเพิ่มจำนวน ส.ส.เขตจาก 350 คนเป็น 400 คน
กติกาทั้งสองนี้สำคัญมากและเราสามารถตั้งข้อสังเกตได้เลยว่า แม้จะใช้กติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2560 ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะเลือกตั้งแบบขาดลอยไม่
พรรคพลังประชารัฐสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้เพราะการปัดเศษในการนับคะแนน ส.ส.บัญชีรายชื่อ และอาจจะเป็นที่กังขาว่า กกต. ใช้วิจารณญาณอย่างอย่างไรในการตีความวิธีการปัดเศษดังกล่าว จนสามารถตั้งรัฐบาลได้สำเร็จและอ้างว่าได้ popular vote สูงที่สุด
แต่ไม่ได้คำนึงถึงความเป็นจริงที่ว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยนั้นส่งลงสมัครน้อยมากเพราะหลีกทางให้ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติ แต่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคไทยรักษาชาติมีอันเป็นไปจากการถูกยุบพรรคการเมืองไปเสียก่อนไม่เช่นนั้นหากรวมจำนวน ส.ส.ที่พรรคไทยรักษาชาติไม่ถูกยุบก็อาจจะทำให้พรรคเพื่อไทยและไทยรักษาชาติรวมตัวกันได้คะแนนเป็นที่ 1 ก็ได้
แม้ว่าภายหลังจากนั้นพรรคอนาคตใหม่จะถูกยุบและเกิดการย้ายข้างจำนวนมากมายเรียกว่ามีงูเห่าสีส้มงูเห่าอีกหลายสีย้ายเข้าไปอยู่ในพรรคการเมือง อื่น ๆ เช่น พรรคการเมืองแถวอีสานใต้ แต่ทั้งหมดทั้งปวงสามารถกล่าวได้ว่าพรรคพลังประชารัฐไม่ได้ชนะเลือกตั้งในกติกาการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 แต่อย่างใด
แม้ว่ารัฐธรรมนูญพุทธศักราช 2560 นั้นจะกำหนดกติกาการเลือกตั้งที่น่าจะเอื้อต่อชัยชนะของพรรคพลังประชารัฐอยู่พอสมควร ซึ่งกติกาดังกล่าว ได้แก่ การมีบัตรเลือกตั้งใบเดียวและมีจำนวน ส.ส.เขตเพียง 350 คนและมี ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คนตลอดจนการที่สมาชิกวุฒิสภาสามารถลงคะแนนเสียงเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีได้อีกจำนวน 250 เสียงจะเป็นกติกาที่เอื้อต่อชัยชนะในการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐของพรรคพลังประชารัฐอย่างเต็มที่ก็ตาม แต่ก็หาใช่ว่าพรรคพลังประชารัฐจะชนะขาดลอยด้วยกติกาที่ตนเองเป็นผู้กำหนดไว้แต่อย่างใด
แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้พรรคพลังประชารัฐกลับนำเสนอร่างรัฐธรรมนูญที่มีกติกาการเข้าสู่อำนาจรัฐหรือกติกาในการเลือกตั้งเฉกเช่นรัฐธรรมนูญในปี 2540 ซึ่งมีบัตรเลือกตั้ง 2 ใบและมีจำนวน ส.ส.เขตถึง 400 คนและ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพียง 100 คน
กติกานี้เป็นกติกาที่เอื้อให้เกิดพรรคการเมืองใหญ่และเกิดการแบ่งขั้วทางการเมืองหรือที่เราเรียกกันในทางวิชาการว่า political polarization ซึ่งจะทำให้พรรคเล็กพรรคน้อยหรือพรรคปัดเศษไม่มีโอกาสได้เกิด และก็ไม่ใช่การเลือกตั้งในระบบปันส่วนผสมอีกต่อไป และเป็นการเอาคะแนนเล็กคะแนนน้อยนั้นเททิ้งน้ำไปให้หมด
เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่าเหตุใดพรรคพลังประชารัฐจึงเสนอร่างรัฐธรรมนูญกลับไปเป็นกติกาการเลือกตั้งและการเข้าสู่อำนาจรัฐเหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งมีข้อพิสูจน์แล้วว่าระบอบทักษิณจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และเข้ามาคุมอำนาจรัฐอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด จนอาจจะเกิดเผด็จการรัฐสภาอีกรอบก็เป็นได้
พูดกันตามตรงรัฐธรรมนูญ 2560 แม้จะเอื้ออำนวยให้พรรคพลังประชารัฐเข้าสู่อำนาจรัฐอย่างได้เปรียบพรรคการเมืองฝ่ายค้านมากเพียงใดก็ตาม แต่ก็ไม่ได้ทำให้พรรคพลังประชารัฐกลายเป็นเผด็จการรัฐสภาแต่อย่างใดการลงคะแนนมติต่างๆต้องใช้กำลังและการล็อบบี้อย่างหนัก
น่าสงสัยว่าพรรคพลังประชารัฐเอาความมั่นใจและความทะนงองอาจหรือความประมาทเลินเล่อใดมาตัดสินและคิดว่าการกำหนดกติกาการเลือกตั้งแบบรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ทักษิณชินวัตรหรือระบอบทักษิณเคยเอาชนะมาได้อย่างถล่มทลายนั้น จะทำให้ตนเองชนะหรือเข้าสู่อำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์แบบเช่นเดียวกันกับที่ระบอบทักษิณได้เคยกระทำมา
การที่พรรคพลังประชารัฐเป็นผู้กุมอำนาจรัฐและอาจจะมีทุนเพียงพอ เรียกว่าอาจจะมีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืนในการเลือกตั้ง จะมีกระแสบ้างเป็นบางส่วน อาจจะเป็นเหตุให้พรรคพลังประชารัฐประมาทเลินเล่อหรือทะนงองอาจในตนมากเกินไปหรือไม่ จนเปรียบเทียบได้กับสิงห์ผมทองที่หันไปเลือกกติกาศัตรูคือเตียชุ่ยซัวจอมยุทธ์ห้าแห่งบู๊ตึ๊งเอาชนะตนเองได้โดยง่าย ทั้งๆ ที่ตนเองได้เปรียบกว่าแทบทุกประการ
พรรคพลังประชารัฐไม่แปลกใจบ้างเลยหรือว่าเหตุใดศัตรูในทางการเมืองของตนหรืออาจจะไม่ใช่ศัตรูแล้วจึงหันมาร่วมมือและต้องการกำหนดกติกาแบบเดียวกัน โดยที่เห็นดีเห็นงามด้วย แสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทยคิดว่าตนเองจะได้เปรียบในการเลือกตั้งและเข้าสู่อำนาจรัฐได้ง่ายหากเรื่องตั้งด้วยกติกาการเลือกตั้งเช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญในปี 2540 ที่พรรคพลังประชารัฐกำลังจะแก้ไขให้เป็นไปตามนี้
การลงไปเล่นในเกมที่เป็นกติกาหรือพื้นที่ที่เขาชำนาญกว่านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย มีโอกาสพ่ายแพ้สูงมาก
หากมีการเลือกตั้งจริงแล้วด้วยกติกาซึ่งเป็นการเลือกตั้งมากถึง 400 เขตเลือกตั้ง ที่เขตเลือกตั้งมีขนาดเล็กลงไปมากและเป็นเขตเลือกตั้ง 1 คน 1 เขตที่เลือกสสได้เพียง 1 คนก็จะทำให้อิทธิพลทางการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบหัวคะแนนหรือการจัดตั้ง ตลอดจนการใช้กระสุนเงินหรือการซื้อเสียงเลือกตั้งสามารถทำได้โดยง่ายขึ้น
ผมไม่คิดว่าพรรคพลังประชารัฐจะมีฝีมือและความสามารถในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง 400 เขตได้เก่งเท่ากับพรรคเพื่อไทย
พรรคเพื่อไทยนั้นมีระบบหัวคะแนนที่แน่นหนามากและดำเนินการต่อเนื่องมาโดยตลอดมีฐานเสียงที่มั่นคงและมีลูกค้าขาประจำที่มีความรักต่อพรรคเพื่อไทยและทักษิณไม่เสื่อมคลาย
ด้วยการกำหนดกติกาที่เอื้อกับศัตรูเช่นนี้ และเป็นกติกาที่ศัตรูทางการเมืองมีความชำนาญมากกว่ามากเพราะหลงทะนงตน คิดว่าตนมีทั้งอำนาจรัฐและอาจจะคิดว่าตนมีอำนาจเงินเรียกง่ายๆว่ามีทั้งกระสุนเงินและกระสุนปืน อาจจะมีกระแสร่วมด้วยนั้น เลยทำให้ประมาทเลินเล่ออย่างยิ่งและจะนำไปสู่ความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นและระบบทักษิณก็จะกลับคืนมาครอบงำปกครองประเทศไทยอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดสมบูรณ์
นี่คือคำพยากรณ์ผลการเลือกตั้งในอนาคตอันใกล้นี้จะเป็นเช่นไรหากพรรคพลังประชารัฐยังพยายามดึงดันที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของกติกาการเลือกตั้งให้เอื้อกับพรรคเพื่อไทยโดยที่หลงผิดคิดว่าตนเองจะได้ประโยชน์ต่อไปเช่นนี้
ว่าแต่ว่าเวลานี้ ศิริราชเตียงเต็ม ศิริราชปิยมหาราชการุณย์เตียงเต็ม รามาธิบดีเตียงเต็ม จุฬาลงกรณ์เตียงเต็ม มงกุฎวัฒนะเตียงเต็ม โรงพยาบาลสนามพลังแผ่นดินเตียงเต็ม ได้ทราบมาว่าแม้โรงพยาบาลเอกชนราคาแพงแสนแพงก็เต็มจนหมดแล้ว
เครื่องช่วยหายใจจะไม่พอแล้ว ต้องเลือกช่วยชีวิต ช่วยทุกคนไม่ได้
หมอ พยาบาล ทำงานกันจนเหนื่อยล้ามากที่่สุดแล้ว
โควิด -19 ระบาดหนักในกทม. และปริมณฑลมาก แต่ยังมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสวนสถิติตัวเลขต่าง ๆ
ประชาชนทุกคน จงรักษาตัวเองให้ดี ห้ามป่วย ห้ามติดโควิด
มันใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะแก้รัฐธรรมนูญใช่หรือไม่?