เมื่อ 31 ปีก่อน หนังกำลังภายในของฮ่องกงคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยผลงานสุดดังแห่งยุคที่ชื่อว่า "เดชคัมภีร์เทวดา" ผลงานที่มีชื่อของ "คิงฮู" เป็นผู้กำกับ แต่จริงๆ แล้ว ด้วยปัญหาสุขภาพ ทำให้หนังถ่ายทำภายใต้การดูแลของผู้กำกับหลายคน ทั้งแอนฮุย เฉินเสี่ยวตง รวมถึงเรย์มอนด์ลี แต่สุดท้ายคนดูก็คงไม่ได้จดจำชื่อผู้กำกับเหล่านี้แต่อย่างใด จำได้เพียงแต่ว่านี่คือหนังของ "ฉีเคอะ" ก็คงจะเพียงพอแล้ว
"ฉีเคอะ" ไม่เพียงปลุกชีพหนังกำลังภายในเท่านั้น แต่ยังทำให้นิยายกำลังภายในระดับคลาสสิกของฮ่องกงถูกนำกลับมาสร้างเป็นภาพยนตร์ใหม่อีกครั้งอย่างต่อเนื่องในช่วงนั้นด้วย และนักเขียนที่กลับมาฮิตในวงการหนังในตอนนั้นอีกครั้งก็คือ "กิมย้ง" เจ้าของผลงานเรื่อง "กระบี่เย้ยยุทธจักร" ที่ถูกดัดแปลงเป็นเดชคัมภีร์เทวดานั่นเอง
แม้จะได้ชื่อว่าหนังที่ดัดแปลงมาจากนิยายกำลังภายใน หนังเหล่านี้ก็ดัดแปลงเนื้อเรื่องจากหนังสือจนหาเค้าเดิมแทบไม่เจอ ภาคแรกภาคสองยังพอมีร่องรอยจากนิยายต้นฉบับอยู่บ้าง แต่ภาคสามแทบจะเขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ จึงไม่แปลกที่แฟนๆ ของนิยายจะไม่ค่อยชอบหนังชุดนี้
โดยเฉพาะภาคสามที่อาจจะบอกว่าเข้าขั้นเกลียดก็พอจะได้
แต่ในเมื่อหนังประสบความสำเร็จ นิยายของกิมย้งก็ถูกกลับมาสร้างเป็นหนังอย่างต่อเนื่องในตอนนั้น และส่วนใหญ่คนทำหนังก็ดูจะเดินตามรอยของฉีเคอะด้วยการดัดแปลงเรื่องราวแบบไม่แคร์ต้นฉบับอะไรเลย
ตอนนั้นก็ได้มีทั้ง มังกรหยกฉบับตลกโปกฮา ที่ชื่อว่า มังกรหยกหยกก๊าหว่า ที่ขนดารานักแสดงชื่อดังมาร่วมละเลงเรื่องจากมังกรยกจนเละตุ้มเป๊ะเพื่อหาทุนเอาไปต่อยอดสร้างหนังอีกเรื่องหนึ่ง
มี "แปดเทพอสูรมังกรฟ้า" กับเนื้อเรื่องที่ยำขึ้นมาใหม่ จนคนอ่านนิยายมาแล้วอาจจะงงว่านี่มันตอนไหนของแปดเทพอสูรมังกรฟ้ากันแน่ทั้งที่หนังอุตส่าห์ได้ดาราระดับซุปเปอร์สตาร์ อย่าง กงลี่, หลินชิงเสีย มาร่วมแสดง แต่จะบอกว่าทำเสียของก็พอจะได้ เพราะเนื้อเรื่องออกมาแปลกประหลาด กลายเป็นแปดเทพอสูรมังกรฟ้า ฉบับพิสดารไปแทน
ส่วน "โจวซิงฉือ" ก็ได้เล่นหนังจากนิยายกิมย้งกับเขาเหมือนกัน แน่นอนว่าต้องเป็นหนังชุด อุ้ยเสี่ยวป้อ ที่ดูแล้วน่าจะเข้ากับบุคลิกของโจวซิงฉือดี แต่สุดท้ายหนังที่กำกับโดย "หวังจิง" เรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจ แต่อย่างน้อยเรื่องก็ยังพอจะตามต้นฉบับอยู่บ้าง ไม่ได้ออกทะเลจนหาฝั่งไม่เจอแบบงานของฉีเคอะ
นิยายเรื่องที่ถูกหยิบมาเป็นหนังในตอนนั้นก็คือ "จิ้งจอกภูเขาหิมะ" นิยายขนาดสั้นของกิมย้ง ที่มีฉากหลังแปลกตา และเล่าเรื่องน่าสนใจด้วยการสลับเหตุการณ์สองช่วงเวลา แต่พอมาเป็นหนังก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษแบบนั้น จุดขายอย่างเดียวของหนังก็น่าจะเป็นดารา ที่จับเอาคู่ขวัญจากซีรีส์ยอดฮิต "เทพบุตรผู้พิชิต" อย่าง "หลี่หมิง" "หลี่เจียซิน" มาเจอกันซะมากกว่า
ส่วน "เจ็ท ลี" เอง หลังเล่นเดชคัมภีร์เทวดาไปแล้วก็มีโอกาสได้เล่นหนังจากนิยายของกิมย้งอีกเรื่อง นั่นก็คือ "ดาบมังกรหยก" ที่ตอนนั้นเป็นโครงการยักษ์ใหญ่ของหวังจิง รวมดาราเอาไว้มากมายกะทำออกมาหลายภาค แต่สุดท้ายแค่ภาคแรกก็จอดไม่ต้องแจวแล้ว
แต่ใครจะเชื่อเกือบสามสิบปีหลังจากนั้น หวังจิง จะสามารถเข็นภาคต่อของดาบมังกรหยก ของตัวเองออกมาได้จริงๆ แม้จะเปลี่ยนนะแสดงแบบยกชุด แต่เขาก็ยืนยันว่านี่คือหนังภาคต่อของงาน เมื่อยุค 90 เรื่องนั้นของตัวเองอย่างแน่นอน แถมลงทุน เอา "ดอนนี่เยน" มาเล่นเป็น "จางซันฟง" แทน "หงจินเป่า" ส่วนบท "เตียบ่อกี้" จะเป็นของ "หลินฟง" ที่แม้หน้าตาจะดู เกินวัยไปมาก แต่ "หวังจิง" ก็ยืนยันว่าในหนังเตียบ่อกี้จะเข้าสู่ช่วงวัยกลางคนแล้ว เพราะฉะนั้น หลินฟง เหมาะสมอย่างแน่นอน
ดาบมังกรหยก ฉบับใหม่ คือหนึ่งในนิยายของกิมย้ง ที่กำลังจะถูกดัดแปลงเป็นหนังหลายๆ เรื่องในช่วงนี้ หลังจากวงการหนังห่างหายจากนิยายของกิมย้งไปนานถึง 25 ปี โดยมี มังกรหยกศึกอภิมหายุทธ เป็นผลงานหนังจากนิยายของกิมย้งเรื่องสุดท้ายที่เราได้ชมกันไป
ตลอดช่วงยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานิยายของกิมย้งยังคงขายดีในวงการโทรทัศน์ แต่กลับไม่มีใครนำมาสร้างเป็นหนังเลย แต่หลังจากที่ "กิมย้ง" เสียชีวิตไปเมื่อ 3 ปีก่อนผลงานของเขากลับมาได้รับความสนใจจากวงการหนังอีกครั้ง
ตอนนี้มีการวางแผนสร้างมังกรหยก หลายภาค มีโปรเจกต์หนังอุ้ยเสี่ยวป้อ และที่เป็นรูปเป็นร่างออกมาแล้วคือ มังกรหยกภาคแรกฉบับใหม่ ที่จะสร้างโดยได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์มังกรหยกในอดีต ซึ่งถ้าหนังประสบความสำเร็จ ยุคทองของหนังจากนิยายของกิมย้งอาจจะกลับคืนมาอีกครั้งก็เป็นไปได้