ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์
สาขาวิชา Business Analytics and Intelligence
สาขาวิชา วิทยาการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยง
คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
การแก้รัฐธรรมนูญ ให้มีบัตรเลือกตั้งสองใบ และมี ส.ส. เขต 400 คน มี ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ 100 คน ที่กำลังพยายามร่วมกันบรรเลงทั้งพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลอยู่ในขณะนี้จะทำให้การเมืองไทยน้ำเน่าถอยหลังเข้าคลองไปอีก 30 ปี นายกรัฐมนตรีจะชื่อ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนเดิม แต่การเมืองจะสู่ยุคน้ำเน่าสนิท ไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย
ประการแรก การเพิ่ม ส.ส. เขต จาก 350 เป็น 400 คน ทำให้น้ำหนักทางการเมืองไปลงที่เขตเลือกตั้ง เน้นไปที่ฐานเสียงและหัวคะแนน เป็นหลัก การเมืองแบบมาเฟีย กำนัน ผู้รับเหมาก่อสร้าง นักเลง จะเพิ่มมากขึ้น ส.ส. จะมี ส.ส. ที่เน้นลงพื้นที่มากขึ้น แต่ไม่สนใจหน้าที่ที่แท้จริงคือนิติบัญญัติ
ประการสอง การเพิ่ม ส.ส. เขต จาก 350 เป็น 400 ทำให้เขตเลือกตั้งเล็กลง กระสุนเงินและกระสุนปืน จะทำหน้าที่ในการหาเสียงเลือกตั้งได้สะดวกมากขึ้น ยิ่งเขตเลือกตั้งเล็ก การใช้อิทธิพลด้านมืดและการใช้เงินซื้อเสียงยิ่งเป็นไปได้โดยง่าย
ประการสาม การเพิ่ม ส.ส. เขต แต่ลด party list ลง ทำให้ได้ ส.ส. น้ำเน่ามากขึ้น ปกติการคัดเลือกเรียง party list ต้องทำให้ดีเพื่อดึงดูดเสียงเลือกตั้ง พรรคการเมืองต่าง ๆ พยายามคัดเฟ้นบุคคลที่เป็นที่ยอมรับเชิดหน้าชูตาในสังคม พูดง่าย ๆ party list ต้องมีกระแส เพราะเป็นเขตเลือกตั้งเดียวทั้งประเทศ ทำให้ใช้กระสุนเงินหรือกระสุนปืนได้ยาก แต่เมื่อสัดส่วน party list ลดลง การเลือกเฟ้นคนที่เก่งคนที่ดี คนที่มีกระแส ในสังคมก็จะย่อหย่อน ลงไป มีความสำคัญลดลงไปมาก
ประการสี่ การมีบัตรเลือกตั้งสองใบ ทำให้เกิดการทิ้งบัตรเลือกตั้งจมน้ำ การมีบัตรเลือกตั้งจมน้ำ คือเลือกไปก็เสียของ โดยเฉพาะในการลงคะแนน ส.ส. เขต จะทำให้การโหวตของประชาชน โหวตโดยที่ดูว่าผู้สมัครคนไหนมีแววที่จะชนะ คนไทยจะไม่ได้เลือกข้างไก่ชนตัวที่ชอบอย่างเดียว แต่จะเลือกตั้งไก่ชนตัวที่มีแววจะชนะเท่านั้นด้วย ด้วยเหตุนี้บัตรเลือกตั้งสองใบ โดยเฉพาะบัตรเลือกตั้ง ส.ส. เขต จะมีคะแนนเททิ้งน้ำ และคะแนนที่จำใจเลือก หรือเลือกข้างคนที่คิดว่าจะชนะ มากขึ้นกว่าเดิมมาก อันไม่ได้สะท้อนอุดมการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด
ประการที่ห้า บัตรเลือกตั้งสองใบ ทำลายระบบการเลือกตั้งแบบปันส่วนผสมเดิม อย่างสิ้นเชิง ทำให้ inclusion หรือการมีส่วนร่วมของกลุ่มน้อย minority ในสังคมลดลง นักการเมืองน้ำเน่าแบบเดิม ๆ ที่มีกระสุนเงินและกระสุนปืน จะเข้าสภาเพิ่มมากขึ้น
ประการที่หก การเลือกตั้งบัตรสองใบแต่นักการเมืองต้องสังกัดพรรค และการย้ายพรรคทำได้ยากขึ้น ทำให้นักการเมืองต้องอยู่ในคอกและถูกควบคุมโดยทุนทางการเมืองได้ง่ายมากขึ้น ทำให้มีแนวโน้มที่พรรคการเมืองจะใหญ่ขึ้น มีอำนาจต่อรองกับนักการเมืองมากขึ้น การเมืองจะขาดเสรีภาพ เพราะนักการเมืองจะตกเป็นทาสของทุนการเมืองมากขึ้น พรรคการเมืองเดิมมีแนวโน้มจะใหญ่ขึ้น และจะไม่มีการแตกแบงค์พันเป็นแบงค์ร้อย เนื่องจากนับคะแนนแยกกันระหว่าง ส.ส. เขตกับ ส.ส. party list อย่างเด็ดขาด อำนาจต่อรองของทุนการเมืองจะสูงลิบลิ่ว เป็นการเมืองทาสทุนการเมือง
ประการที่เจ็ด พรรคการเมืองพรรคเล็กจะเกิดยากมากขึ้น จะถูกพรรคใหญ่กินรวบไปหมด พรรคที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแต่ไม่มีทุนจะไม่เกิด การซื้อเสียงจะหนักกว่าเดิมมากจากการมี ส.ส. เขต มากถึง 400 คน
ถ้าจะเลือกตั้งแบบบัตรสองใบ ผมคิดว่าลด ส.ส. เขต ลงเหลือแค่ 250 คนก็พอ มี ส.ส. ปาร์ติ้ลิสต์ 250 คน ถ้าเป็นเช่นนี้ น้ำหนักเท่า ๆ กัน ระหว่าง สส เขต กับ ปาร์ตี้ลิสต์จะดีกว่ามาก
การเลือกตั้งต้องเป็นเขตเลือกตั้งใหญ่เป็นพวง เช่น เขตเลือกตั้งหนึ่งมี ส.ส. 3-5 คน แล้วใช้วิธีการเรียงคะแนนเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งพวงใหญ่ ทำเช่นนี้จะทำให้การใช้กระสุนเงิน และกระสุนปืน ทำได้ยาก ในขณะที่กระแสหรือ political ideology จะสำคัญมากกว่าเดิม
ส.ส. เขต ต้องเป็นอิสระได้ สมัครในนามอิสระได้ ไม่จำเป็นต้องสังกัดพรรค ไม่ให้เป็นทาสทุนการเมือง
การออกแบบกติกาในการเข้าสู่อำนาจรัฐหรืออำนาจทางการเมือง โดยคำนึงถึงแต่ผลประโยชน์ของนักการเมืองและพรรคการเมือง แต่ถ่ายเดียว ทำให้การเมืองน้ำเน่าถอยหลังเข้าคลอง ไม่พัฒนา และเป็นการทำร้ายบ้านเมืองอย่างร้ายแรง
ชนชั้นใดเขียนกฎหมายก็เพื่อชนชั้นนั้น การที่ ส.ส. มาร่วมกันแก้รัฐธรรมนูญเช่นนี้ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง หาได้สนใจบ้านเมืองไม่ คิดแต่จะทำอย่างไรให้เข้าถึงอำนาจรัฐได้ง่ายที่สุด และทำอย่างไรให้ทุนการเมืองสามารถควบคุมเสียงได้ง่ายที่สุด
ที่ตลกร้ายคือทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลต่างคิดตรงกันว่าความพยายามแก้กติกาที่จะใช้บัตรเลือกตั้งสองใบ มี ส.ส. เขต 400 และ ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ 100 จะเอื้อประโยชน์ให้แก่ฝ่ายตนมากกว่าทั้งสิ้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็น zero-sum game มีคนได้ก็ต้องมีคนเสีย ไม่ใช่จะได้ไปทั้งหมดทุกคนก็หาไม่ แง่นี้ทำไมไม่คิดกันบ้างเห็นดีเห็นงามตามความเคยชินในวิสัยการเมืองไทยเก่า ๆ น้ำเน่าดำปี๋ ไม่ได้คิดจะทำให้การเมืองพัฒนาเพื่อให้บ้านเมืองก้าวหน้าไปเสียเลย คิดแต่ผลประโยชน์ของตนเองแต่อ่านกติกาไม่ขาด
เศร้าใจมากครับ บ้านเมืองนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ถ้าจะทำให้การเมืองถอยหลังน้ำเน่าขนาดนี้ แล้วคาดคะเนกันว่าจะเสพสังวาสกันทางการเมืองอย่างสนุกสนานในกามารมณ์ ทรยศประชาชนกันถ้วนหน้าทุกพรรคการเมือง