สภา 270 เสียง มีมติอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน "ชลน่าน" ซัด "ประยุทธ์" ไร้ภาวะผู้นำ จี้ให้ลาออก ยุ ปชช.ฟ้องร้องทางละเมิด ฐานทำประเทศชาติเสียหาย ด้าน "อาคม" เน้นโฟกัส SMEs เป็นหลัก ย้ำใช้เงินรอบคอบ แย้มขยายเพดานหนี้
วานนี้ (10 มิ.ย.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เป็นวันที่ 2 โดยมี นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายสรุปในส่วนของพรรคฝ่ายค้านตอนหนึ่งว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หากเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหมอ ก็จะเป็นหมอที่ทำให้อาการของคนไข้แย่ลง และเสียชีวิต กว่า 1.3 พันราย ภายใน 2 เดือน และมีคนไข้สะสมหลักแสนคน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีภาวะผู้นำ การชี้แจงต่อสภาฯ ก็มีแต่การเสียดสี เยาะเย้ย ถากถาง ทำให้ไม่ไว้ใจว่าจะทำหน้าที่ได้ดีต่อไป และกังวลว่าจะทำให้ประเทศลงเหว เพราะนายกฯไม่มีความมั่นใจต่อการระงับการระบาดของโควิด-19 ได้เลย
“ผมมองว่าสิ่งที่แก้ไขง่ายต้องใช้เงินกู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อระงับการระบาดของโควิดเท่านั้นภายใน 1 ปี ส่วนงานฟื้นฟู ที่เสนอกว่า 4 หมื่นโครงการ เป็นแผนงานปกติไม่ใช่แก้ปัญหา และไม่ควรใช้เงินกู้ แต่ควรนำเข้าระบบงบประมาณปกติ ดังนั้น ผมเชื่อว่ากู้เงินอีกรอบ 5 แสนล้านบาท จะไม่สามารถระงับยังยั้งการระบาดได้ เพราะมีตัวอย่างความล้มเหลวจากการใช้เงินกู้ก้อนแรก 1 ล้านล้านบาทมาแล้ว" นพ.ชลน่าน
“ชลน่าน” ยุ ปชช.ฟ้องนายกฯ
นพ.ชลน่าน ยังเรียกร้องให้ประชาชนฟ้องร้องทางละเมิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้เป็นตัวอย่างว่า เป็นผู้นำที่ทำให้ประชาชนเสียหาย และเสียชีวิต และยืนยันว่า ส.ส.พรรคฝ่ายค้านไม่อนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทได้ เพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถในการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ และควรกฎหมายงบประมาณปกติ ที่สำคัญผู้นำไม่มีความเหมาะสมเป็นผู้นำ ดังนั้นการฟื้นฟูประเทศ ยับยั้งวิกฤตโรคระบาด และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำเท่านั้น เพราะการที่องค์กรได้คนโง่และขยันเป็นผู้นำ ทำให้องค์กรเสียหาย
"หากท่านลาออก ประชาชนจะยกย่องเป็นวีรบุรุษ ดังนั้นขอให้ท่านออกเพื่อบ้านเมือง แต่หากดื้อต่อไป จะเป็นคนที่ประชาชนเกลียดชัง และขนานนามว่าเป็นทรราช เพราะท่านทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน ดังนั้นขอให้ออกเพื่อบ้านเพื่อเมือง" นพ.ชลน่าน กล่าวสรุป
เน้นช่วย “เอสเอ็มอี” เป็นหลัก
ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวชี้แจงว่า รายละเอียดของกรอบแผนงานจะลงในกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ที่ผ่านมาในปี 63 ช่วงเกิดระบาดโควิด-19 รอบแรก ได้มีการเข้าไปยียวยาค่าใช้จ่ายของประชาชนในโครงการต่างๆ เพื่อให้การบริโภคภายในประเทศไม่หยุดชะงัก โดยพยายามให้ถึงรากหญ้าให้มากที่สุด และยังช่วยผู้ประกอบธุรกิจ โดยผ่านมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล แต่ครั้งนี้มีการโฟกัสไปที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) การรักษาการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“อาคม”แย้มขยายเพดานหนี้
ส่วนข้อกังวลเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะที่ใกล้เต็มเพดาน 60% ของจีดีพีนั้น นายอาคมกล่าวว่า คงต้องมีการทบทวนว่าองค์ประกอบของหนี้มีอะไรบ้าง ความสามารถชำระหนี้ และในภาวะที่ไม่ปกติซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ประสบภาวะแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยจะทำอย่างไร ตามที่มีการกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นภาระที่เราต้องมาคำนวณการกำหนดหนี้สาธารณะว่าจะทำอย่างไร เพราะในอดีตหนี้เราก็มีเพิ่มขึ้น แต่ก็ค่อยๆ ปรับลดลงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งก็เป็นเงื่อนไขด้วยว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วแค่ไหนก็จะทำให้ประชาชน ภาคธุรกิจมีรายได้ การจัดเก็บภาษีตามมา ความสามารถชำระหนี้ก็จะดีขึ้น และขอขอบคุณทุกข้อความเห็นที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของกระทรวงการคลัง
แจงแหล่งที่มาของเงินใช้หนี้
ด้าน นายกฤษฎา จีนะวิจารนะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า สำหรับหนี้สาธารณะ ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาท สัดส่วนคือ 54% หากรวมถึงที่เราจะกู้ทั้งกู้ขาดดุล และอีก 5 แสนล้านบาทนี้ในสิ้นปีงบประมาณนี้ก็ยังไม่เกิน 60% อยู่ที่ 58-59% เท่านั้น ส่วนในอนาคต เรามีคณะกรรมการการเงินการคลังภาครัฐจะพิจารณาในเรื่องของกรอบเงินกู้อยู่ อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะจะเป็นหนี้ที่รัฐบาลไม่ได้รับผิดชอบตรงๆ โดยจะมีแหล่งเงินมาคืนที่ชัดเจนอยู่แล้วคือ กองทุนฟื้นฟูที่เป็นหนี้ตั้งแต่ปี 40 ตอนนี้เหลือเงินต้นอยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาท โดยแหล่งที่มาที่จะใช้หนี้มาจากการเก็บจากเงินฝากจากสถาบันการเงิน เพื่อมาชำระหนี้ในทุกๆ ปี รวมถึงหนี้รัฐวิสาหกิจบางประเภทที่มีความสามารถชำระคืนได้เองอยู่แล้ว เช่น ปตท. อีก 3 แสนล้านบาทด้วย ซึ่งรวมแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะการเอาเงินงบประมาณไปชำระตามที่กังวลกัน
เช็คเสียงโหวต “งูเห่า” โผล่
จากนั้น ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน ด้วยคะแนนเสียง 270 เสียง ต่อ196 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง จำนวนส.ส.ที่ร่วมลงมติ 469 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานเบื้องหลังผลการลงมติครั้งนี้ว่า พรรคก้าวไกล ลงมติไม่เห็นด้วยเกือบทั้งพรรค ยกเว้น 4 คน คือ นายขวัญเลิศ พานิชมาท, นายคารม พลพรกลาง, นายเอกภพ เพียรพิเศษ และ นายพีรเดช คำสมุทร ได้ลงมติเห็นด้วย โดยทั้ง 4 คนนี้ เเสดงตัวชัดเจนโดยไปนั่งร่วมกับ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยตลอดการอภิปราย ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่เข้าร่วมประชุม เพราะป่วย รวมทั้ง นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ไม่เข้าร่วมประชุม เพราะบิดาเสียชีวิต อย่างไรก็ตามพบว่า นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. ไม่ลงมติ
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ลงมติไม่เห็นด้วยเกือบทั้งพรรค ยกเว้น นายจักรพรรดิ ไชยสาสน์, นายไตรรงค์ ติธรรม, น.ส.พรพิมล ธรรมสาร, นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ, นายสมคิด เชื้อคง, นายสมบัติ ศรีสุรินทร์ และ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ซึ่งทั้ง 7 คน ปรากฏผลคะเเนนเป็น-หรือ ยัติภังค์ ที่หมายถึงผู้ไม่ลงมติ, ผู้ลาประชุม, ผู้ขาดประชุม
“สมคิด-ศรัณย์วุฒิ” แจงเหตุ
ด้าน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธาธี พรรคเพื่อไทย ชี้แจงสาเหตุที่ไม่ได้ลงมติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทว่า ได้แจ้งหัวหน้า และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.แล้วว่าวันนี้ไม่สามารถร่วมลงมติได้ เนื่องจากต้องเดินทางไปร่วมงานศพผู้มีพระคุณ ซึ่งทางพรรคเข้าใจดี ไม่มีประเด็นทางการเมืองให้ต้องดีความใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่ นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีความจำเป็นเพราะในพื้นที่ ต.นาอิน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนติดเชื้อโควิด และมีผู้จำเป็นต้องกักตัวกว่า 2 ร้อยคน จึงลงพื้นที่ไปดูแลประชาชน และเรื่องนี้ก็ได้แจ้งทางพรรคไว้ล่วงหน้าแล้ว
วานนี้ (10 มิ.ย.) ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีวาระการพิจารณาพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท หรือ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท เป็นวันที่ 2 โดยมี นายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานในที่ประชุม
โดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายสรุปในส่วนของพรรคฝ่ายค้านตอนหนึ่งว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หากเปรียบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหมอ ก็จะเป็นหมอที่ทำให้อาการของคนไข้แย่ลง และเสียชีวิต กว่า 1.3 พันราย ภายใน 2 เดือน และมีคนไข้สะสมหลักแสนคน เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีภาวะผู้นำ การชี้แจงต่อสภาฯ ก็มีแต่การเสียดสี เยาะเย้ย ถากถาง ทำให้ไม่ไว้ใจว่าจะทำหน้าที่ได้ดีต่อไป และกังวลว่าจะทำให้ประเทศลงเหว เพราะนายกฯไม่มีความมั่นใจต่อการระงับการระบาดของโควิด-19 ได้เลย
“ผมมองว่าสิ่งที่แก้ไขง่ายต้องใช้เงินกู้เพื่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อระงับการระบาดของโควิดเท่านั้นภายใน 1 ปี ส่วนงานฟื้นฟู ที่เสนอกว่า 4 หมื่นโครงการ เป็นแผนงานปกติไม่ใช่แก้ปัญหา และไม่ควรใช้เงินกู้ แต่ควรนำเข้าระบบงบประมาณปกติ ดังนั้น ผมเชื่อว่ากู้เงินอีกรอบ 5 แสนล้านบาท จะไม่สามารถระงับยังยั้งการระบาดได้ เพราะมีตัวอย่างความล้มเหลวจากการใช้เงินกู้ก้อนแรก 1 ล้านล้านบาทมาแล้ว" นพ.ชลน่าน
“ชลน่าน” ยุ ปชช.ฟ้องนายกฯ
นพ.ชลน่าน ยังเรียกร้องให้ประชาชนฟ้องร้องทางละเมิดกับ พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อให้เป็นตัวอย่างว่า เป็นผู้นำที่ทำให้ประชาชนเสียหาย และเสียชีวิต และยืนยันว่า ส.ส.พรรคฝ่ายค้านไม่อนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทได้ เพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถในการใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ และควรกฎหมายงบประมาณปกติ ที่สำคัญผู้นำไม่มีความเหมาะสมเป็นผู้นำ ดังนั้นการฟื้นฟูประเทศ ยับยั้งวิกฤตโรคระบาด และพลิกฟื้นเศรษฐกิจ ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำเท่านั้น เพราะการที่องค์กรได้คนโง่และขยันเป็นผู้นำ ทำให้องค์กรเสียหาย
"หากท่านลาออก ประชาชนจะยกย่องเป็นวีรบุรุษ ดังนั้นขอให้ท่านออกเพื่อบ้านเมือง แต่หากดื้อต่อไป จะเป็นคนที่ประชาชนเกลียดชัง และขนานนามว่าเป็นทรราช เพราะท่านทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชน ดังนั้นขอให้ออกเพื่อบ้านเพื่อเมือง" นพ.ชลน่าน กล่าวสรุป
เน้นช่วย “เอสเอ็มอี” เป็นหลัก
ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวชี้แจงว่า รายละเอียดของกรอบแผนงานจะลงในกลุ่มเป้าหมายให้ชัดเจนมากขึ้น ที่ผ่านมาในปี 63 ช่วงเกิดระบาดโควิด-19 รอบแรก ได้มีการเข้าไปยียวยาค่าใช้จ่ายของประชาชนในโครงการต่างๆ เพื่อให้การบริโภคภายในประเทศไม่หยุดชะงัก โดยพยายามให้ถึงรากหญ้าให้มากที่สุด และยังช่วยผู้ประกอบธุรกิจ โดยผ่านมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล แต่ครั้งนี้มีการโฟกัสไปที่ผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็ก (เอสเอ็มอี) การรักษาการจ้างงานได้อย่างต่อเนื่อง จะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“อาคม”แย้มขยายเพดานหนี้
ส่วนข้อกังวลเรื่องสัดส่วนหนี้สาธารณะที่ใกล้เต็มเพดาน 60% ของจีดีพีนั้น นายอาคมกล่าวว่า คงต้องมีการทบทวนว่าองค์ประกอบของหนี้มีอะไรบ้าง ความสามารถชำระหนี้ และในภาวะที่ไม่ปกติซึ่งไม่ใช่แค่ประเทศไทยที่ประสบภาวะแพร่ระบาดโควิด-19 ไทยจะทำอย่างไร ตามที่มีการกู้เงินเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นภาระที่เราต้องมาคำนวณการกำหนดหนี้สาธารณะว่าจะทำอย่างไร เพราะในอดีตหนี้เราก็มีเพิ่มขึ้น แต่ก็ค่อยๆ ปรับลดลงเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว ซึ่งก็เป็นเงื่อนไขด้วยว่าหากเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วแค่ไหนก็จะทำให้ประชาชน ภาคธุรกิจมีรายได้ การจัดเก็บภาษีตามมา ความสามารถชำระหนี้ก็จะดีขึ้น และขอขอบคุณทุกข้อความเห็นที่เป็นประโยชน์ในการทำงานของกระทรวงการคลัง
แจงแหล่งที่มาของเงินใช้หนี้
ด้าน นายกฤษฎา จีนะวิจารนะ ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวเสริมว่า สำหรับหนี้สาธารณะ ตัวเลขปัจจุบันอยู่ที่ 8.5 ล้านล้านบาท สัดส่วนคือ 54% หากรวมถึงที่เราจะกู้ทั้งกู้ขาดดุล และอีก 5 แสนล้านบาทนี้ในสิ้นปีงบประมาณนี้ก็ยังไม่เกิน 60% อยู่ที่ 58-59% เท่านั้น ส่วนในอนาคต เรามีคณะกรรมการการเงินการคลังภาครัฐจะพิจารณาในเรื่องของกรอบเงินกู้อยู่ อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะจะเป็นหนี้ที่รัฐบาลไม่ได้รับผิดชอบตรงๆ โดยจะมีแหล่งเงินมาคืนที่ชัดเจนอยู่แล้วคือ กองทุนฟื้นฟูที่เป็นหนี้ตั้งแต่ปี 40 ตอนนี้เหลือเงินต้นอยู่ประมาณ 7 แสนล้านบาท โดยแหล่งที่มาที่จะใช้หนี้มาจากการเก็บจากเงินฝากจากสถาบันการเงิน เพื่อมาชำระหนี้ในทุกๆ ปี รวมถึงหนี้รัฐวิสาหกิจบางประเภทที่มีความสามารถชำระคืนได้เองอยู่แล้ว เช่น ปตท. อีก 3 แสนล้านบาทด้วย ซึ่งรวมแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท ดังนั้น จึงไม่มีประเด็นที่ว่ารัฐบาลจะการเอาเงินงบประมาณไปชำระตามที่กังวลกัน
เช็คเสียงโหวต “งูเห่า” โผล่
จากนั้น ที่ประชุมได้มีมติอนุมัติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้าน ด้วยคะแนนเสียง 270 เสียง ต่อ196 เสียง งดออกเสียง 1 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง จำนวนส.ส.ที่ร่วมลงมติ 469 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานเบื้องหลังผลการลงมติครั้งนี้ว่า พรรคก้าวไกล ลงมติไม่เห็นด้วยเกือบทั้งพรรค ยกเว้น 4 คน คือ นายขวัญเลิศ พานิชมาท, นายคารม พลพรกลาง, นายเอกภพ เพียรพิเศษ และ นายพีรเดช คำสมุทร ได้ลงมติเห็นด้วย โดยทั้ง 4 คนนี้ เเสดงตัวชัดเจนโดยไปนั่งร่วมกับ ส.ส.พรรคภูมิใจไทยตลอดการอภิปราย ขณะที่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่เข้าร่วมประชุม เพราะป่วย รวมทั้ง นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ไม่เข้าร่วมประชุม เพราะบิดาเสียชีวิต อย่างไรก็ตามพบว่า นายจิรวัฒน์ อรัณยกานนท์ ส.ส.กทม. ไม่ลงมติ
ขณะที่พรรคเพื่อไทย ลงมติไม่เห็นด้วยเกือบทั้งพรรค ยกเว้น นายจักรพรรดิ ไชยสาสน์, นายไตรรงค์ ติธรรม, น.ส.พรพิมล ธรรมสาร, นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ, นายสมคิด เชื้อคง, นายสมบัติ ศรีสุรินทร์ และ นายอนุรักษ์ ตั้งปณิธานนท์ ซึ่งทั้ง 7 คน ปรากฏผลคะเเนนเป็น-หรือ ยัติภังค์ ที่หมายถึงผู้ไม่ลงมติ, ผู้ลาประชุม, ผู้ขาดประชุม
“สมคิด-ศรัณย์วุฒิ” แจงเหตุ
ด้าน นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธาธี พรรคเพื่อไทย ชี้แจงสาเหตุที่ไม่ได้ลงมติ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทว่า ได้แจ้งหัวหน้า และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย.แล้วว่าวันนี้ไม่สามารถร่วมลงมติได้ เนื่องจากต้องเดินทางไปร่วมงานศพผู้มีพระคุณ ซึ่งทางพรรคเข้าใจดี ไม่มีประเด็นทางการเมืองให้ต้องดีความใดๆทั้งสิ้น
ขณะที่ นายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ ส.ส.อุตรดิตถ์ พรรคเพื่อไทย ระบุว่า มีความจำเป็นเพราะในพื้นที่ ต.นาอิน อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ มีประชาชนติดเชื้อโควิด และมีผู้จำเป็นต้องกักตัวกว่า 2 ร้อยคน จึงลงพื้นที่ไปดูแลประชาชน และเรื่องนี้ก็ได้แจ้งทางพรรคไว้ล่วงหน้าแล้ว