วันนี้(10 มิ.ย.)นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขตสวนหลวง พรรคกล้า แสดงความเห็นต่อกรณีที่มติเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรโหวตผ่าน พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคม จากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม วงเงินไม่เกิน 500,000 ล้านบาท โดยระบุว่า เมื่อเงินกู้จำนวนมหาศาลนี้ผ่านสภาแล้ว หวังว่ารัฐบาลจะบริหารเพื่อแก้ปัญหาวิกฤตในขณะนี้ได้อย่างครอบคลุมทุกมิติ อย่าให้ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเพียงข้ออ้างในการกู้ แต่กลับไม่นำไปใช้เพื่อสิ่งนั้นจริงๆ เพราะที่ผ่านมาไม่ว่าการแก้วิกฤติสาธารณสุขหรือเศรษฐกิจล้วนแต่ยังไม่ตรงเป้าด้วยปัจจัยสำคัญที่สุดก็คือ ‘ภาวะผู้นำบกพร่อง’ จึงทำให้ยังวางใจอนาคตไม่ได้ว่าจะเดินไปอย่างสวยหรู แม้จะมีเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้ามาเติมเต็มแล้วก็ตาม
“ตลอดการอภิปรายไม่ว่าฝ่ายค้านหรือพรรคร่วมรัฐบาลต่างสะท้อนปัญหาตรงกัน คือ เมื่อมองย้อนกลับไปที่การกู้เงินรอบก่อนซึ่งเป็นเม็ดเงินสูงถึง 1 ล้านล้านบาท พบว่า เวลาผ่านไปหนึ่งปีก็ยังไม่สามารถคลี่คลายวิกฤติสาธารณสุขหรือหาทางหนุนเสริมศักยภาพให้แข็งแรงขึ้นได้ แม้ในแผนงานด้านสาธารณสุขท่านจะวางงบประมาณวางไว้จำนวนมาก แต่ในทางปฏิบัติโครงการมากกว่าครึ่งไม่มีการเบิกจ่ายเลยแม้แต่บาทเดียว หมายความว่า ระบบสาธารณสุขซึ่งก็คือหน้าด่านในการทำสงครามโควิดถูกปล่อยให้ขาดเครื่องมือหรือทรัพยากรเพื่อแก้ปัญหาทั้งที่มีเวลาถึงหนึ่งปีเต็ม โดยที่ก็มองเห็นอยู่ว่ามีเงินนอนนิ่งๆอยู่ในมือ หากเปรียบกับสงครามครั้งเสียกรุงก็คงเหมือนที่เขาว่ามีปืนใหญ่จำนวนมากแต่เอาออกมายิงไม่ได้เพราะนายไม่ให้ยิง ขวัญกำลังใจของทหารก็ค่อยๆหมดไป ยังไม่นับรวมถึงการจัดหาวัคซีนที่ล่าช้าและการกระจายที่สับสน”นายอริย์ธัช กล่าว
นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า ขณะที่วิกฤติเศรษฐกิจ ท่านยังคงวนเวียนกับการเยียวยาแบบสะเปะสะปะและทิ้งขว้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการที่เม็ดเงินลงไปไม่ถึงเสียที ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนมากไม่สามารถรักษาธุรกิจและการจ้างงานเอาไว้ได้ ประเด็นเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับภาวะผู้นำบกพร่องทั้งสิ้น ซึ่งผมเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ ก็คงต้องการแก้ปัญหาจริงๆ แต่อาจติดที่ท่านอยู่ในระบบราชการหรือเป็นทหารมาทั้งชีวิต จึงมีความเคยชินกับการดำเนินงานแบบเดินเอกสารไปเรื่อยๆตามขั้นตอน ระมัดระวังมากเรื่องระเบียบข้อบังคับต่างๆ เพื่อป้องกันการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง หรือไม่ชินกับการอัดฉีดเงินเข้าระบบเอกชนเพราะกังวลกับทุจริตที่อาจมีบ้างเล็กๆน้อยๆประเภทมีคนมาสวมรอยขอเงิน แต่ท่านกลับเอาเรื่องยิบย่อยมาเป็นโจทย์หลักครอบปัญหาใหญ่ไว้จนกลายเป็นข้อจำกัดและทำให้ล่าช้าทุกเรื่อง หนึ่งปีผ่านไปเงินจึงไปไม่ถึงพวกเขา การจัดซื้ออุปกรณ์การแพทย์หรือสร้างระบบสาธารณสุขเพื่อเตรียมความพร้อมก็ไม่สามารถทำได้เต็มศักยภาพ สุดท้ายเมื่อเกิดสถานการณ์ระลอกที่ 3 ขึ้น ระบบสาธารณสุขที่มีจึงเริ่มรับมือไม่ไหว ปัญหาจึงบานปลายจนต้องมาขอวงเงินกู้รอบใหม่เพื่อไปจัดการในเรื่องเดิมๆ แบบเดิมๆ
นายอริย์ธัช กล่าวต่อไปว่า เพราะความล้มเหลวนี้ ทำให้หลายฝ่ายพยายามถามถึงความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้มีอำนาจตัดสินใจสูงสุดในการบริหารสถานการณ์ โดยให้ลาออกไปเพื่อเปลี่ยนให้บุคคลใหม่เข้ามาใช้เงินกู้ก้อนนี้แทน
“ขอเรียนว่าหากท่านยังทำใจไม่ได้หรือยังไม่พร้อมตัดสินใจเรื่องนี้ จึงเหลือเพียงทางออกเดียวที่ท่านต้องทำก็คือ เปลี่ยนความคิดความรู้สึกให้สัมผัสได้เหมือนเป็นประชาชน ไม่ใช่คิดในฐานะราชการที่นึกภาพไม่ออกว่า ถ้าไม่ขายของไม่เปิดร้านก็ไม่เป็นไร เพราะต่อให้วันนี้ท่านไม่ทำงานเลย เงินเดือนก็เข้า แต่สำหรับพ่อค้าแม่ขาย รายได้หนึ่งวันอาจหมายถึงค่าเล่าเรียนลูก ค่านม ค่าเช่าบ้าน ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ ค่าหนี้สินต่างๆที่ยังเดินตลอดเวลา ท่านต้องคิดในมุมใหม่ที่ได้ยินเสียงความเดือดร้อนของประชาชน และคิดอย่างรับผิดชอบต่อพวกเขาในฐานะผู้ที่ต้องใช้หนี้ก้อนนี้ตัวจริง แล้วนำสิ่งเหล่านี้มาตัดสินด้วยภาวะผู้นำในสถานการณ์วิกฤติ อย่าให้ภาวะผู้นำบกพร่องปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปตามระบบราชการเหมือนที่ผ่านมาซึ่งนั่นอาจเหมาะกับภาวะปกติเท่านั้น หากท่านคิดแล้วท่านต้องใช้อำนาจผู้นำนั้นเข้าไปแก้ข้อจำกัดต่างๆในระบบราชการ เช่น การจัดซื้อจัดจ้างเครื่องมือแพทย์ การหนุนเสริมบุคลากร ชุดตรวจเชิงรุก การจัดหาวัคซีนมาให้ได้โดยเร็ว และมีการกระจายวัคซีนที่โปร่งใสตรวจสอบได้ อย่าให้ใครมาครหาได้ว่าปล่อยปละละเลยให้ใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือเพื่อสร้างฐานเสียงทางการเมือง เช่นเดียวกับการช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจ ส.ส.หลายท่านได้ยกตัวอย่างโมเดลของประเทศต่างๆขึ้นมาให้เห็นรูปธรรมแล้ว เรื่องนี้จึงไม่ต้องคิดมาก แค่ใช้ภาวะผู้นำแบบกล้าตัดสินใจแล้วสั่งการลงไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อัดฉีดเงินลงไป พักหนี้ พักต้น พักดอกให้เขาให้ได้ หากใช้ภาวะผู้นำในการจัดการเรื่องเหล่านี้ได้สำเร็จ เชื่อว่าการกู้เงิน 500,000 ล้านบาทในครั้งนี้จะมีผลสัมฤทธิ์ที่ต่างจากการกู้เงิน 1 ล้านล้านบาทในรอบก่อนอย่างแน่นอน”นายอริย์ธัช กล่าว