ต้องถือเป็นเรื่องที่น่าคิด น่าสะกิดใจ อยู่พอสมควรเหมือนกัน...สำหรับช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมา ที่สื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” ซึ่งแม้อยู่ฝ่ายตรงข้าม หรือถือเป็น “คู่แข่ง-คู่กัด” ของคุณพ่ออเมริกา เขาได้ออกมาเตือนๆ ไว้ก่อนล่วงหน้าถึง “ภาวะเงินเฟ้อ” ในอเมริกา ว่าเป็นสิ่งที่โลกทั้งโลกควรจะต้อง “จับตา” ไว้ซะแต่เนิ่นๆ ในข้อเขียน บทความ ที่ให้ชื่อเอาไว้ว่า “GT Voice: World needs to be alert to US inflation spillover” อะไรประมาณนั้น...
คือในภาวะที่เงิน “ดอลลาร์” มันออกจะท่วมโลก ล้นโลก อันเนื่องมาจากการเยียวยา หรืออัดฉีด คราวแล้ว คราวเล่า ตั้งแต่ยุค “ทรัมป์บ้า” มาจนถึงยุค “โจ ซึมเซา” หรือ “โจ สเตียรอยด์” ก็แล้วแต่ ก็ยังไม่หยุดอัด หยุดฉีด คราวละนับล้านล้านดอลลาร์แถมปีหน้า (ค.ศ. 2020) กะจะอัดกันถึงระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อยกเครื่องระบบสาธารณูปโภค การศึกษา เทคโนโลยี สภาวะอากาศ ฯลฯ ตามแนวคิดของ “ผู้เฒ่าโจ” โดยไม่ว่าจะเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ก็ตามที อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้ดูจะก่อให้เกิดความน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อ “ภาวะเงินเฟ้อ” ในอเมริกา ที่โดยข้อมูลตัวเลขล่าสุดจาก “ดัชนีการใช้จ่ายผู้บริโภค” (personal consumption expenditures index) อันถือเป็น “มาตรวัด” ที่สำคัญเอามากๆ ต่อภาวะความเป็นไปดังกล่าว มันพุ่งปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ ขึ้นมาถึง 3.1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หรือพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา หรือโดยเฉพาะเมื่อเทียบกับช่วงเดือนกรกฎาคมของปี ค.ศ.1992...
แม้ว่า “ธนาคารกลางของสหรัฐฯ” หรือ “FED” จะพยายามออกมาสร้างความมั่นอก มั่นใจ ให้ใครต่อใคร โดยถือว่าเป็นแค่ “ภาวะชั่วคราว” ก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าจะหาคนเชื่อได้ค่อนข้างยากเอามากๆ เนื่องจากด้วย “องค์ประกอบ” อื่นๆ ที่ทำให้ค่อนข้างเชื่อลำบาก โดยเฉพาะบรรดา “นักลงทุน” ด้านการเงิน-การทองทั้งหลาย ที่ต่างมองเห็นถึง “แนวโน้มความเสื่อมค่าของเงินดอลลาร์” แบบชนิดต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ไม่ต่ำกว่า 3 ปีซ้อนๆ เมื่อเทียบกับค่าเงินตราสกุลอื่นๆ ในระบบตะกร้าของ “IMF” โดยเฉพาะ “เงินหยวน” ของจีน คือจากที่เคยต้องใช้เงินถึงประมาณ 7 หยวน (6.9-7.084) ถึงจะแลกเงินดอลลาร์ได้ประมาณ 1 ดอลลาร์ แต่มาถึงทุกวันนี้ แค่ควักออกมาประมาณไม่ถึง 5 หยวน (4.885) ก็สามารถแลกดอลลาร์ 1 ดอลลาร์ได้สบายๆ นอกจากนั้นยังรวมไปถึงมูลค่า ราคา ของสินค้า อสังหาริมทรัพย์ ค่าเช่า ฯลฯ ที่ทำท่าว่าเริ่มพุ่งขึ้นปรู๊ดๆ ปร๊าดๆ อย่างเป็นประวัติการณ์ หรือประวัติศาสตร์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ถ้าหากไม่ “จับตา” เอาไว้ซะแต่เนิ่นๆ โอกาสที่ภาวะดังกล่าวมันจะ “แพร่ระบาด” ไปทั่วทั้งโลก ไม่ต่างไปจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 หรือเกิด “ภาวะเงินเฟ้อ” ไปทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะโลกที่ต่างตกอยู่ภายใต้ “เผด็จการดอลลาร์” มาโดยตลอด อาจต้องเจอกับภาวะ “ราคาสินค้า” พุ่งทะลุเพดาน ขณะที่เงินตราสกุลต่างๆ หนีไม่พ้นต้องด้อยค่า เสื่อมค่า ไปพร้อมๆ กับเงินดอลลาร์ อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธ และนั่นย่อมนำมาซึ่ง “ฉากสถานการณ์” อันไม่พึงประสงค์ ไม่ว่าในทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือสังคมก็แล้วแต่ อย่างเช่นที่กำลังเริ่มๆ อยู่ในประเทศ “บราซิล” ช่วงนี้ เป็นต้น...
จริง-ไม่จริง...เชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องลองไปใคร่ครวญพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน แต่ภายใต้ภาวะเช่นนี้ คงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า โอกาสที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกาจะสามารถ “ฟื้นตัว” หรือสามารถ “Take America Back Again” ตามคำขวัญหาเสียงของ “ผู้เฒ่าโจ” ในการรณรงค์เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ออกจะเป็นอะไรที่ “ลำบาก” เอามากๆ!!! คือยังไงๆ...คงไม่ถึงกับลื่นไหลระดับสามารถ “พลิกหลังตีนเป็นหน้ามือ” ได้ง่ายๆ เพราะบรรดา “เครื่องมือ” อื่นๆนอกเหนือไปจากเรื่องเศรษฐกิจแล้ว ไม่ว่าสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” (ตามมาตรฐานตะวันตก) หรือ “สิทธิมนุษยชน” ที่ผู้นำอเมริการายนี้ คิดเอาไว้ใช้เล่นงาน ต่อสู้ หรือเอาชนะ “คู่แข่ง-คู่กัด” ไม่ว่าจีนหรือรัสเซียก็ตาม มันก็ออกจะยากลำบากไม่น้อยไปกว่าเรื่องเศรษฐกิจนั่นแหละทั่น...
คือไม่ว่าคิดจะ “ปรับปรุง” หรือเสกสรรปั้นแต่งกันไปในลักษณะไหน แต่สิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” ตามแบบฉบับอเมริกาหรือตามมาตรฐานตะวันตกในช่วงระยะนี้ มันออกจะเป็นอะไรที่ขายยาก ขายเย็น เสียเหลือเกิน แค่ดูจากคำพูด คำจา ของอดีตที่ปรึกษาผู้จงรักภักดี หรือคนสนิทของ “ทรัมป์บ้า” “พลโทไมเคิล ฟลินน์” (Michael Flynn) ที่พยายามไป “ปลุกระดม” ชาวดัลลัส ในมลรัฐเท็กซัส เมื่อช่วงวันจันทร์ (31 พ.ค.) ที่ผ่านมา ถึงขั้นว่า... “สิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าเมื่อเร็วๆ นี้ (การรัฐประหาร) ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นในประเทศอเมริกาต่อไปนับจากนี้” อันนี้...ก็หมดแล้ว!!! ไม่ต้องเสียเวลาปรับแต่ง ปรุงแต่งใดๆ อีกต่อไป แบบเดียวกับ “ประชาธิปไตยในฝรั่งเศส” นั่นเอง ที่กำลังต้องเจอกับพวก “อดีตนายพล” นับสิบ นับร้อย ออกมาเรียกร้องให้หวนกลับไปเอา “ระบบทหาร” หรือ “ระบอบเผด็จการ” มาใช้กันแทนที่ ก่อนที่ “สงครามกลางเมือง” จะอุบัติขึ้นมาภายในประเทศเอาง่ายๆ...
ส่วนสิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” อันถือเป็นของแถมที่มักจะมาพร้อมกับ “ประชาธิปไตยแบบตะวันตก” และสามารถนำไปใช้เล่นงาน “คู่แข่ง” ตามระบบสองมาตรฐานมาโดยตลอด แต่ทุกวันนี้...กลับเป็นสิ่งที่ทำให้คุณพ่ออเมริกาต้อง “โดดเดี่ยว” ตัวเองออกจากโลกทั้งโลก เมื่อจำต้องโดดเข้าขัดขวางการตำหนิ การประณาม ของคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติต่อ “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” อย่างอิสราเอล ที่กระทำย่ำยีต่อชาวปาเลสไตน์แบบชนิดชัดๆ จะจะ แม้ว่า “ผู้เฒ่าโจ” จะพยายามนำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้เล่นงานคู่แข่ง ไม่ว่าการหยิบเอาเรื่อง “สิทธิมนุษยชนในซินเกียง” มาเล่นงานประเทศจีน หรือหยิบเอาความเป็น “นักฆ่า” เป็น “ฆาตรกร” มาเล่นงานผู้นำรัสเซียในกรณีการกำจัดสปาย สายลับ และเตรียมจะหยิบยกเอาประเด็นดังกล่าว มาใช้เป็นหัวข้อในการพบปะเจรจากับประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ในเร็วๆ นี้ ตามคำพูด คำสัญญาต่อหน้าบรรดาอเมริกันชน ณ เมืองเดลาแวร์ แต่หนีไม่พ้นต้องถูก “สวน” ด้วยคำพูด คำประกาศ ของรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย “นายเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ” ที่ระบุว่าพร้อมจะหยิบเอาเรื่องราวเหล่านี้ มาพูดจาสนทนากับผู้นำอเมริกันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะสิ่งที่ถือเป็นเรื่อง “ใกล้ตัว” ประธานาธิบดีอเมริกันมากที่สุด นั่นคือการจับกุมคุมขัง การตั้งข้อหาต่อผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าก่อการ “จลาจล” ในรัฐสภาอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ จำนวนถึง 400 คน มาใช้เป็นข้อมูลในการถกเถียงและแลกเปลี่ยน...
คือสรุปง่ายๆ ว่า...ภายใต้ “ความตกต่ำ” หรือ “ความเสื่อม” ไม่ว่าทาง “เศรษฐกิจ” หรือ “การเมือง” ของอเมริกาในทุกวันนี้ ดูจะทำให้การหาทางออก ทางไป ในอันที่จะ “Take America Back Again” แทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย เหลืออยู่เพียง “ทางเลือก” ที่แทบมิอาจปฏิเสธได้ยิ่งเข้าไปทุกที นั่นคืออาจต้องหวนกลับไปใช้ “เครื่องจักรกลแห่งการสังหาร” หรือ “อำนาจทางทหาร” อันเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครสามารถ “แข่งขัน” หรือเป็น “คู่แข่ง” ได้อย่างชัดเจน มาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ หรือการดำรงรักษา ความเป็นหนึ่งเดียวต่อไปให้จงได้!!!
ด้วยเหตุนี้...จึงถือเป็นเรื่อง “ไม่แปลก” ที่ “งบกลาโหม” ของกองทัพอเมริกันปีนี้ ถึงได้พุ่งพรวดๆ พราดๆ สูงซะยิ่งกว่ายุค “ทรัมป์บ้า” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน แต่ก็นั่นแหละ...การหันมาใช้ “จุดแข็ง” ในด้าน “การทหาร” ขณะที่ไม่ว่า “เศรษฐกิจ” หรือ “การเมือง” ต่างกลายเป็น “จุดอ่อน” ไปด้วยกันทั้งสิ้น โอกาสที่ทุกสิ่งทุกอย่างจะเป็นไปตามแนวคิดทฤษฎีของปรมาจารย์ด้านการทหาร อย่าง “ท่านประธานเหมา เจ๋อ ตุง” ที่ว่าไว้ว่า “ชนะทางการเมือง...ชนะทุกสิ่งทุกอย่าง-แพ้ทางการเมือง...แพ้ทางการเมือง-แพ้ทุกสิ่งทุกอย่าง” ก็ย่อมเป็นไปได้เช่นกัน หรือแทนที่จะทำให้โอกาสที่มหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง เผลอๆ...อาจต้องหนักไปทาง “ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี” เอาง่ายๆ!!!