ครบรอบ 1 ปีพอดีที่อินเดียกับการประกาศปิดประเทศในการหยุดการระบาดรอบที่ 1 ของโควิด
เป็นการประกาศแบบฉุกละหุก ในค่ำวันอังคารที่ 24 มีนาคม 2020 ก่อนหน้าการปิดประเทศเพียง 4 ชั่วโมง เพราะการปิดประเทศและห้ามออกนอกบ้าน (นอกจากกรณีจำเป็นเร่งด่วน) ใน 1 วินาทีแรก, หลังเที่ยงคืนวันที่ 24 มีนาคม ซึ่งย่างเข้าสู่วันพุธที่ 25 มีนาคมนั่นเอง โดยการล็อกดาวน์ครั้งแรกนี้จะมีผลถึงวันที่ 14 เมษายน นับเป็นเวลา 3 อาทิตย์หรือ 21 วัน
ที่นายกฯ โมดี ต้องรีบประกาศอย่างฉุกเฉิน ก็เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อทั่วทั้งอินเดีย ในวันก่อนประกาศสูงขึ้นถึง 536 ราย และมียอดคนตายเป็นเลขสองหลักที่ 10 ราย!
เป็นการรีบประกาศปิดประเทศด้วยความตระหนกตามอย่างประเทศที่กำลังเริ่มระบาดขนาดหนักสองประเทศในยุโรปคือ อิตาลี และสเปน
นายกฯ โมดี กล่าวย้ำหน้าจอทีวีว่า ขอให้ทุกคนลั่นกลอนประตูหน้าบ้านเลย ไม่ควรออกมาจากบ้านได้เป็นดี
คำสั่งนี้ เป็นคำสั่งจากรัฐบาลกลาง และใช้บังคับต่อทุกๆ มลรัฐ และไปจนถึงระดับท้องถิ่นทุกอำเภอ, ตำบล, หมู่บ้าน
ปรากฏว่า แรงงานอพยพชาวอินเดียที่มาขายแรงงานตามเมืองใหญ่ๆ ได้รีบออกเดินทางกลับบ้านทันทีในวันรุ่งขึ้น ขนาดเดินเท้าเป็นหลายร้อยกิโลเพราะไม่มีรถไฟหรือรถโดยสารที่จะพาพวกเขากลับบ้าน เนื่องเพราะมีการหยุดรถโดยสารทุกชนิดทั้งประเทศด้วย
โรงงานและกิจการต่างๆ หยุดงานตามคำสั่งปิดประเทศครั้งนี้ และให้เปิดเฉพาะกิจการที่จำเป็นเพื่อการกินอยู่แต่ละวัน รวมทั้งร้านขายยาที่ยังเปิดได้บ้าง
ประกาศปิดประเทศครั้งนี้ เกิดความโกลาหลและทำให้คนจนผู้ใช้แรงงานต้องอดตายจำนวนมาก เพราะต้องตกงานทันที และเกิดการอพยพครั้งใหญ่หนีตายกลับบ้านไปชนบท
อีก 3 วันต่อมา ในวันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม นายกฯ โมดี ได้พูดกับประชาชนอีกครั้งทางโทรทัศน์หลังจากมีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่ว่า รัฐบาลขาดการวางแผนที่ดีก่อนประกาศปิดประเทศ...เขากล่าวว่า “เมื่อผมมองไปยังพี่น้องชายหญิงที่แสนยากจนของผมทั่วประเทศ ผมตระหนักดีว่าพวกพี่น้องที่รักของผมกำลังคิดว่า นายกฯ คนนี้ทำไมถึงทำกับพวกเขาได้ถึงขนาดนี้...หลายคนอาจจะโกรธผมที่ออกคำสั่ง...แต่เพราะมันไม่มีทางเลือกอันอื่นเลยที่จะทำสงครามต่อสู้กับไวรัสร้ายนี้...มันเป็นสงครามเพื่อรักษาชีวิตทุกคน... และเราจะต้องชนะ” เขาพูดทั้งออดอ้อน และเสริมด้วยการสร้างกำลังใจ
หลังจากการปิดประเทศไปได้ 3 อาทิตย์ ตัวเลขการระบาดก็ดีขึ้นทั่วอินเดีย จนโมดีได้รับคำชื่นชมจากทั่วโลก ถึงความเด็ดขาดที่ออกคำสั่งปิดประเทศเพื่อระงับการระบาดของโรค
พร้อมๆ กับมีคำสั่งผลิตวัคซีนจากเจ้าของลิขสิทธิ์หลายเจ้า ที่ว่าจ้างให้อินเดียผลิตเพื่อแจกจ่ายวัคซีนให้แก่ประชาชนของประเทศต่างๆ รวมถึงเพื่อมอบให้แก่โครงการ COVAX ขององค์การอนามัยโลกด้วย
จนมาถึงเดือนมกราคมต้นปีนี้เอง ที่โมดีประกาศชัยชนะต่อการปราบโควิดที่อินเดีย พร้อมกับการโกยเงินเข้าประเทศมหาศาลจากการรับจ้างผลิตวัคซีนจากทั่วโลก รวมถึงสถานะของอินเดียที่ยิ่งใหญ่จนสามารถบริจาควัคซีนไปให้หลายประเทศ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือประเทศเพื่อนบ้านที่อินเดียกำลังแผ่อิทธิพลเข้าไป นั่นคือ บริจาควัคซีนถึง 10 ล้าน 5 แสนโดสให้แก่รัฐบาลพม่าของนางอองซาน ซูจี (หลังจากได้บริจาคเรือดำน้ำให้ไปก่อนแล้ว 1 ลำ)
ผลจากการระบาดรอบที่ 2 และ 3 ที่ยุโรปและอเมริกาใต้ ได้ลามมาเป็นการระบาดรอบ 2 ที่อินเดีย
ปรากฏว่า อินเดียมัวแต่ผลิตวัคซีนตามการว่าจ้างของต่างประเทศ; แต่ภายในประเทศอินเดียเองกลับมีการฉีดวัคซีนน้อยมาก อาจจะชะล่าใจว่าได้รับชัยชนะจากศึกปราบโควิดรอบแรกไปด้วยดี
ประกอบกับการเลือกตั้งท้องถิ่นที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนเมษายน ในขณะที่เริ่มมีการระบาดรอบ 2 ทั่วอินเดีย ด้วยเชื้อไวรัสที่รุนแรงกว่าครั้งก่อน
นายกฯ โมดี เกิดอาการชะล่าใจว่า โรคจะไม่ระบาดหนัก และต้องการแสดงว่าพรรคบีเจพีของเขาสามารถนำพาประเทศผ่านวิกฤตโรคระบาดมาอย่างปลอดภัย จึงสั่งเดินหน้าการหาเสียงเลือกตั้ง และการลงคะแนนตามกำหนด ทั้งๆ ที่ตัวเลขคนติดเชื้อได้เพิ่มจากยอดเป็นแค่หมื่นราย...โตขึ้นเป็นแสนราย และยอดคนตายก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
หลายฝ่ายออกมาเสนอให้นายกฯ โมดี ประกาศเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก่อน แต่โมดียืนยันไม่เลื่อนเพราะจะเป็นการส่งสัญญาณว่า เขากำลังจัดการกับการระบาดไม่ได้ผล
ยิ่งในมลรัฐที่พรรคบีเจพีของเขากำลังต้องการขยายฐานเสียงเข้าไปในเขตที่เป็นมุสลิม เช่น ที่รัฐเวสต์เบงกอล (หรือเบงกอลตะวันตก)...เขากลับทุ่มสรรพกำลังทั้งเงินทองของพรรค เพื่อเปิดการปราศรัยหาเสียงประชันกับเจ้าของเก้าอี้เดิม โดยมีการแข่งกันชุมนุมฟังคำปราศรัยอย่างแน่นขนัดเบียดเสียด และไม่มีการออกกฎหรือขอร้องให้สวมหน้ากาก
และนี่เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการระบาดหนักที่อินเดีย จนตัวเลขคนติดเชื้อต่อวันเป็นระดับ 2-3 แสนราย และคนตายก็ขึ้นไปถึงแสนราย...แต่โมดีก็ยังไม่ยอมเลื่อนการเลือกตั้ง เพราะจะเสียหน้าและเสียความมั่นใจของประชาชนต่อพรรครัฐบาล...ผลประกาศออกมาในรัฐเบงกอลตะวันตก เจ้าถิ่นเดิมกวาดชัยชนะได้เป็นรอบที่ 3 ได้ถึง 200 ที่นั่งจาก 294 ที่นั่ง…ส่วนพรรคบีเจพีได้เพิ่มจากครั้งที่แล้วเคยได้แค่ 3 ที่นั่ง ครั้งนี้ได้มาเกือบ 80 ที่นั่ง…แต่บีเจพีก็ยังแพ้อยู่ดี
และผู้ติดเชื้อที่ขยายเพิ่มขึ้นจนเกิน 4 แสนคนต่อวันในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำลายสถิติจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวันมากที่สุดในโลก (สหรัฐฯ เคยทำยอดสูงสุดสมัยทรัมป์ ก็แค่เกือบ 3 แสนราย)…และยอดผู้เสียชีวิตสะสมขณะนี้ อินเดียได้ไล่หลังบราซิลมาอยู่อันดับ 3 ด้วยจำนวนกว่า 2 แสน 3 หมื่นราย! (ของบราซิลอยู่อันดับ 2 ที่ 4 แสนกว่าราย)…ยอดผู้เสียชีวิตสะสมของอินเดียจากโควิด-19 ได้แซงหน้าเม็กซิโก ที่เคยอยู่อันดับ 3 ไปเสียแล้ว (ยอดของเม็กซิโกอยู่ที่ 2 แสน 2 หมื่นราย)…เป็นสถิติการระบาดที่สาหัสมากที่อินเดียภายในเวลาแค่ประมาณ 3 เดือนเท่านั้น
และยังมีเทศกาลสรงน้ำในแม่น้ำคงคายยมนาตามประเพณีโบราณของฮินดู ซึ่งนานครั้งจะโคจรมาบรรจบกันที่เป็นฤกษ์ดีสุดๆ ท่ามกลางการระบาดหนักของโควิด
นายกฯ โมดี ไม่กล้าที่จะประกาศลดจำนวนวันที่จะปล่อยให้ประชาชนสรงน้ำ เพราะเขากลัวเสียคะแนนเสียงในฐานเสียงของบีเจพีนั่นเอง
ต่างกับนายกฯ ซูกะ ของญี่ปุ่นซึ่งประกาศล็อกดาวน์ตัดหน้าโกลเดนวีก (ช่วงวันแรงงาน 1 พฤษภาคม) ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องระงับการเดินทางกลับบ้านหรือท่องเที่ยวตามประเพณีที่เคยปฏิบัติมา ซึ่งกระทบการจับจ่ายของชาวญี่ปุ่น…หรือนายกฯ บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ และปธน.มาครง ของฝรั่งเศสที่จำใจต้องประกาศล็อกดาวน์ช่วงอีสเตอร์ ทั้งๆ รู้ดีว่า จะเกิดการหยุดชะงักทางเศรษฐกิจจากการล็อกดาวน์ แต่การสู้รบกับการระบาดมีความสำคัญเร่งด่วนกว่า
และอดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบความเฉียบขาดของการจัดการกับโควิด ระหว่างประเทศที่มีประชากรเกือบ 1,500 ล้านคนของจีนและอินเดีย...เป็นการแก้ปัญหาระหว่างประเทศประชาธิปไตยที่ใหญ่ที่สุดของโลกคือ อินเดีย กับประเทศเผด็จการอย่างจีนที่เห็นผลที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน