อินเดียพบผู้ป่วยใหม่โควิด-19 เกิน 300,000 คนติดต่อกันเป็นวันที่ 12 จนยอดสะสมอยู่ที่ 19.9 ล้านคน ขณะที่ในวันจันทร์ (3 พ.ค.) มีเสียชีวิตเพิ่มอีกกว่า 3,000 คน ทางด้านนักวิจัยคาดตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจพุ่งถึงจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 3-5 นี้ โดยผู้เชี่ยวชาญฟันธง ต้องบังคับใช้คำสั่งกักตัวอยู่บ้านและการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งสถานการณ์ในอินเดียขณะนี้ได้
กระทรวงสาธารณสุขอินเดียรายงานในวันจันทร์ว่า รอบ 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนารายใหม่เพิ่มขึ้น 368,147 คน รวมจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 19.93 ล้านคน ขณะที่จำนวนผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 3,417 คน เป็น 218,959 คน
อย่างไรก็ดี พวกผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ต่างเชื่อว่า ตัวเลขจริงน่าจะสูงกว่าที่ทางการรายงาน 5-10 เท่า
กระนั้น กระทรวงสาธารณสุขยังพยายามมองแง่ดีว่า จากตัวเลขที่ออกมาในวันจันทร์นั้น จำนวนผู้ติดเชื้อเมื่อเทียบกับจำนวนผู้เข้ารับการตรวจทั้งหมด ได้ลดลงเป็นครั้งแรกนับจากวันที่ 15 เมษายน
เวลาเดียวกัน ทีมนักวิจัยที่ให้คำปรึกษารัฐบาลเผยว่า จากการคำนวณทางสถิติ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของอินเดียอาจพุ่งขึ้นสูงสุดระหว่างวันที่ 3-5 นี้ หรือเร็วกว่าที่ประเมินเอาไว้ก่อนหน้านี้อยู่ 2-3 วัน เนื่องจากไวรัสระบาดเร็วกว่าที่คาดไว้
ทางด้าน พรามาร์ มุกเคอร์จี นักระบาดวิทยาของมหาวิทยาลัยมิชิแกนในอเมริกา ทวิตว่า มีเพียงการบังคับใช้คำสั่งกักตัวอยู่บ้านและการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทางการแพทย์เท่านั้นที่จะหยุดยั้งสถานการณ์ในอินเดียขณะนี้ได้ และเสริมว่า ไม่เฉพาะจำนวนเคสใหม่รายวันเท่านั้น แต่จำนวนผู้ป่วยยังเพิ่มขึ้นสะสม โดยจำนวนผู้ป่วยที่มีการรายงานล่าสุดอยู่ที่ราว 3.5 ล้านคน
การระบาดระลอกนี้ถือเป็นวิกฤตใหญ่สุดที่อินเดียเผชิญนับจากที่นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี เข้ารับตำแหน่งเมื่อปี 2014 ผู้นำอินเดียผู้นี้กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักว่า ไม่ดำเนินการรับมือตั้งแต่แรกเพื่อสกัดการระบาด แต่กลับปล่อยให้ประชาชนนับล้านๆ ร่วมเทศกาลทางศาสนาโดยที่ส่วนใหญ่ไม่สวมหน้ากาก รวมทั้งอนุญาตให้มีการหาเสียงที่มีคนไปฟังการปราศรัยแน่นขนัดใน 5 รัฐระหว่างเดือนมีนาคมถึงเมษายน ทั้งนี้กระทั่งตัวโมดีเองก็ไปปรากฎตัวหาเสียงช่วยลูกพรรคของเขาอย่างเต็มที่ด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้น รัฐบาลยังเพิกเฉยต่อคำเตือนของคณะที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ที่ระบุว่า ไวรัสกลายพันธุ์สายพันธุ์ใหม่ที่ระบาดได้เร็วกว่าเดิมมาก กำลังระบาดในแดนภารตะตั้งแต่เดือนมีนาคม
แม้ยังต้องจับตากันต่อไปว่า แนวทางการรับมือวิกฤตโรคระบาดจะส่งผลทางการเมืองต่อโมดีและพรรคของเขาอย่างไร โดยการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าจะจัดขึ้นในปี 2024 แต่ล่าสุดพรรคของโมดีแพ้การเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติของรัฐเบงกอลตะวันตกซึ่งมีการประกาศผลเมื่อวันอาทิตย์ (2) แม้จะได้ชัยชนะในรัฐเพื่อนบ้านอย่างอัสสัมก็ตาม
ข้อมูลของทางการระบุว่า จำนวนผู้ติดเชื้อในอินเดียเพิ่มขึ้นราว 8 ล้านคนนับจากปลายเดือนมีนาคม ส่งผลให้ระบบสาธารณสุขที่ขาดแคลนเงินทุนสนับสนุนอยู่แล้ว ต้องรับภาระหนักเกินกำลัง และขณะนี้โรงพยาบาลต่างๆ ขาดแคลนทั้งเตียง ยา และออกซิเจน ทำให้ผู้ป่วยบางคนเสียชีวิตขณะรอคิวเข้ารักษาหน้าโรงพยาบาลในเดลีและเมืองอื่นๆ และโรงพยาบาลต่างๆ ต้องร้องขอออกซิเจนอยู่เป็นระยะๆ ผ่านโซเชียลมีเดีย ซึ่งหลายครั้งไม่ทันการณ์ หรือกว่าจะได้รับก็จวนเจียนเต็มที
เวลานี้ทั้งรัฐบาลท้องถิ่นและรัฐบาลกลาง มีการระดมหาออกซิเจนเพิ่มให้โรงพยาบาล ซึ่งรวมถึงการสั่งการไปยังผู้ผลิตออกซิเจน ให้เปลี่ยนมาผลิตออกซิเจนเพื่อใช้ทางการแพทย์ และใช้รถไฟด่วน “ออกซิเจน เอ็กซ์เพรส” ขนไปแจกจ่าย กระนั้น สถานการณ์ก็ยังดูย่ำแย่สาหัส
ในวันอาทิตย์ ศาลสูงสุดมีคำสั่งให้รัฐบาลแก้ไขสถานการณ์การขาดแคลนออกซิเจนในเดลีให้ลุล่วงภายในเที่ยงคืนวันจันทร์
ขณะเดียวกัน ความช่วยเหลือจากนานาชาติหลั่งไหลถึงอินเดียเพิ่มขึ้น ซึ่งรวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศสที่ส่งอุปกรณ์การแพทย์และโรงงานผลิตออกซิเจนไปถึงในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา และอังกฤษที่กำลังจะส่งเครื่องช่วยหายใจไปเพิ่มอีก 1,000 เครื่อง
อัลเบิร์ต เบอร์ลา ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร (ซีอีโอ) ไฟเซอร์เผยเมื่อวันจันทร์ว่า บริษัทกำลังเจรจากับรัฐบาลอินเดียให้เร่งรัดการอนุมัติวัคซีน เพื่อจะได้บริจาควัคซีนมูลค่ากว่า 70 ล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ทางการอินเดียเคยประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่า หน่วยงานผู้คุมกฎจะตัดสินใจเรื่องการอนุมัติวัคซีนต่างชาติ ซึ่งรวมถึงของไฟเซอร์ แบบฉุกเฉิน ภายใน 3 วันทำการนับจากการยื่นคำร้อง
แม้เป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ที่สุดในโลก แต่อินเดียกลับมีวัคซีนโควิดไม่เพียงพอ โดยขณะนี้มีการฉีดวัคซีนแล้ว 15.7 ล้านโดส หรือเท่ากับ 1% ของจำนวนประชากรทั้งหมด 1,300 ล้านคน
(ที่มา : รอยเตอร์, เอเอฟพี, เอพี)