ผู้จัดการรายวัน360-ผู้ประกอบการเหล็กเตรียมยื่นหนังสือวอนรัฐต้องเข้าใจราคาเหล็กในประเทศเพิ่มขึ้นสะท้อนกลไกตลาดโลกที่ราคาเศษเหล็ก สินแร่เหล็กปรับเพิ่ม แจงราคาเฉลี่ยที่ขึ้นยังต่ำกว่านำเข้าจากจีน เวียดนาม ขณะที่ดีมานด์ทั้งในและต่างประเทศก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ยันไทยไม่มีความจำเป็นต้องนำเข้าโดยเฉพาะเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศมี 11 ล้านตันต่อปี แต่มีความต้องการใช้แค่ 4 ล้านตันต่อปี เผยแนวโน้มราคาเหล็กโลกมีโอกาสอ่อนตัวลงในไตรมาส 3 ด้าน "พาณิชย์"เรียกผู้ผลิต ผู้นำเข้าเหล็ก หารือด่วน
นายทวีศักดิ์ ตั้งเด่นชัย นายกสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ภาครัฐจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาราคาเหล็กในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ใช้เหล็กนั้นทางกลุ่มผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไทยได้มีการหารือกันแล้วที่จะเตรียมจะยื่นหนังสือให้กับทางภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบถึงข้อเท็จจริงว่าราคาเหล็กในประเทศที่ปรับขึ้นเป็นปัจจัยที่สะท้อนตามต้นทุนสินแร่เหล็กและเศษเหล็กในตลาดโลกปรับขึ้น
“กรณีที่ภาครัฐอาจจะมีการนำเข้าเหล็กมาในประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาเหล็กในประเทศสูงจนเกินไปนั้นมองว่าปริมาณการผลิต โดยเฉพาะเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 11 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการใช้ในประเทศมีเพียงแค่ 4 ล้านตันต่อปีซึ่งชี้ให้เห็นว่าไม่ได้ขาดแคลนอะไร”นายทวีศักดิ์กล่าว
นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการ สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้ากล่าวว่า สาเหตุที่ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้นราคาที่ปรับขึ้นเป็นไปตามภาวะกลไกลของราคาเหล็กในตลาดโลก ที่สูงขึ้นจากความต้องการใช้เหล็กภายในจีนซึ่งอดีตที่ผ่านมาประเทศจีนเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่แต่ขณะนี้กลับต้องมีการนำเข้าเหล็กในประเทศเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น
“สาเหตุที่ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นเพราะมีความต้องการใช้ และเป็นกลไกของตลาดโลก ซึ่งผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไม่สามารถควบคุมราคาเองได้เพราะเราก็ต้องพึ่งพาการนำเข้าเหล็กต้นน้ำเช่นกัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการปั่นราคาหรือกักตุนวัตถุดิบเหล็กแต่อย่างใด” นายประวิทย์ กล่าว
นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ราคาเหล็กในประเทศเป็นราคาที่สะท้อนกลไกตลาดโลกจากวัตถุดิบทั้งเศษเหล็ก สินแร่เหล็กที่ราคาสูง ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตเองได้พยายามรักษาลูกค้าโดยพยายามสมดุลราคาไม่ให้สูงเกินไปซึ่งจะเห็นว่าราคาเหล็กเฉลี่ยของไทยที่ปรับขึ้นหากเทียบราคา ณ เดือนที่ตัดสินใจซื้อ(Order Base)ราคายังถูกกว่านำเข้าจากจีนและเวียดนาม(รวมภาษีฯ)
ทั้งนี้จากการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ที่ต้องการเหล็กในประเทศควรหารือกับผู้ผลิตในการวางแผนล่วงหน้าเพราะการผลิตเหล็กไม่ใช่สั่งวันนี้แล้วจะได้ทันทีเพราะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่นั่นหมายถึงการต้องมีเงินสั่งซื้อซึ่งกรณีกลุ่มรถยนต์เองก็ไม่ได้มีปัญหาเพราะเป็นลูกค้าและวางแผนล่วงหน้าไว้ ขณะที่ผู้นำเข้าที่เคยนำเข้าจากจีนและเวียดนามแล้วจะหันมาซื้อในประเทศเพิ่มจึงควรวางแผนระยะยาวร่วมกันโดยให้มองเป็นคลัสเตอร์ทั้งระบบซึ่งเชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายได้
นายทวีศักดิ์ ตั้งเด่นชัย นายกสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่ภาครัฐจะมีมาตรการแก้ไขปัญหาราคาเหล็กในประเทศที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ใช้เหล็กนั้นทางกลุ่มผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไทยได้มีการหารือกันแล้วที่จะเตรียมจะยื่นหนังสือให้กับทางภาครัฐที่เกี่ยวข้องเพื่อรับทราบถึงข้อเท็จจริงว่าราคาเหล็กในประเทศที่ปรับขึ้นเป็นปัจจัยที่สะท้อนตามต้นทุนสินแร่เหล็กและเศษเหล็กในตลาดโลกปรับขึ้น
“กรณีที่ภาครัฐอาจจะมีการนำเข้าเหล็กมาในประเทศ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ราคาเหล็กในประเทศสูงจนเกินไปนั้นมองว่าปริมาณการผลิต โดยเฉพาะเหล็กเส้นก่อสร้างในประเทศไทยนั้นอยู่ที่ 11 ล้านตันต่อปี แต่ความต้องการใช้ในประเทศมีเพียงแค่ 4 ล้านตันต่อปีซึ่งชี้ให้เห็นว่าไม่ได้ขาดแคลนอะไร”นายทวีศักดิ์กล่าว
นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง กรรมการ สมาคมผู้ผลิตเหล็กทรงยาวด้วยเตาอาร์คไฟฟ้ากล่าวว่า สาเหตุที่ราคาเหล็กปรับตัวเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ นั้นราคาที่ปรับขึ้นเป็นไปตามภาวะกลไกลของราคาเหล็กในตลาดโลก ที่สูงขึ้นจากความต้องการใช้เหล็กภายในจีนซึ่งอดีตที่ผ่านมาประเทศจีนเป็นผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่แต่ขณะนี้กลับต้องมีการนำเข้าเหล็กในประเทศเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้น
“สาเหตุที่ราคาเหล็กเพิ่มขึ้นเพราะมีความต้องการใช้ และเป็นกลไกของตลาดโลก ซึ่งผู้ประกอบการเหล็กในประเทศไม่สามารถควบคุมราคาเองได้เพราะเราก็ต้องพึ่งพาการนำเข้าเหล็กต้นน้ำเช่นกัน โดยยืนยันว่าไม่ได้มีการปั่นราคาหรือกักตุนวัตถุดิบเหล็กแต่อย่างใด” นายประวิทย์ กล่าว
นายนาวา จันทนสุรคน ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) กล่าวว่า ราคาเหล็กในประเทศเป็นราคาที่สะท้อนกลไกตลาดโลกจากวัตถุดิบทั้งเศษเหล็ก สินแร่เหล็กที่ราคาสูง ซึ่งที่ผ่านมาผู้ผลิตเองได้พยายามรักษาลูกค้าโดยพยายามสมดุลราคาไม่ให้สูงเกินไปซึ่งจะเห็นว่าราคาเหล็กเฉลี่ยของไทยที่ปรับขึ้นหากเทียบราคา ณ เดือนที่ตัดสินใจซื้อ(Order Base)ราคายังถูกกว่านำเข้าจากจีนและเวียดนาม(รวมภาษีฯ)
ทั้งนี้จากการหารือกับกระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ที่ต้องการเหล็กในประเทศควรหารือกับผู้ผลิตในการวางแผนล่วงหน้าเพราะการผลิตเหล็กไม่ใช่สั่งวันนี้แล้วจะได้ทันทีเพราะต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศที่นั่นหมายถึงการต้องมีเงินสั่งซื้อซึ่งกรณีกลุ่มรถยนต์เองก็ไม่ได้มีปัญหาเพราะเป็นลูกค้าและวางแผนล่วงหน้าไว้ ขณะที่ผู้นำเข้าที่เคยนำเข้าจากจีนและเวียดนามแล้วจะหันมาซื้อในประเทศเพิ่มจึงควรวางแผนระยะยาวร่วมกันโดยให้มองเป็นคลัสเตอร์ทั้งระบบซึ่งเชื่อว่าปัญหานี้จะคลี่คลายได้