อาทิตย์ที่ผ่านมา ชาวโลกได้เห็นวาจาแข็งกร้าวจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน และทีมคู่ใจฝ่ายต่างประเทศ และความมั่นคง ที่ได้ใช้วาจาทั้งตำหนิการกระทำของจีนและรัสเซียว่าไม่คล้อยตามระเบียบสากล ที่ทำให้เพื่อนบ้านรู้สึกถูกคุกคามเสถียรภาพ รวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อพลเมืองของตน ตลอดจนทีมไบเดนมีท่าทีข่มขู่ว่า การกระทำที่นอกลู่นอกทางเหล่านี้จะต้องจ่ายด้วยราคาแพง
เริ่มจากอเมริการะดมเสียงสนับสนุนในกลุ่ม QUAD รวมทั้งการเดินทางของ รมต.ต่างประเทศบลิงเคนบินคู่พร้อมรมต.กลาโหม พล.อ.ลอยด์ ออสติน และที่ปรึกษาด้านความมั่นคง เจค ซัลลิแวน ประกาศว่าอเมริกายังแนบแน่นให้การสนับสนุนพันธมิตรในอินโด-แปซิฟิก โดยการเยือนทั้งญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และรมต.กลาโหมเยือนอินเดีย
เป็นท่าทีระดมสร้างพลังแข็งแกร่งน่าเกรงขามของฝ่ายสหรัฐฯ ก่อนที่บลิงเคนและซัลลิแวนจะไปพบกับทีมต่างประเทศของจีนเป็นครั้งแรกที่อะแลสกา
วาจาที่เชือดเฉือนจากเจ้าของบ้านคือ บลิงเคน ที่กล่าวอารัมภบทเปิดการประชุมทำเอาทีมจีน นำโดยมุขมนตรีอดีต รมต.ต่างประเทศและปัจจุบันดูแลด้านต่างประเทศสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนายหยาง เจียฉี ได้เปิดฉากตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ทำเอาอากาศที่ยังหนาวเหน็บปลายฤดูหนาว ต้นฤดูใบไม้ผลิของอะแลสกาดูจะร้อนจี๋ขึ้นมาทันที
เป็นการปะทะกันต่อหน้ากล้องนักข่าวที่มาจากทั่วโลก เพื่อรายงานการประชุมสำคัญครั้งนี้
หลังจากบลิงเคนกล่าวขอบคุณทีมจีนที่มาร่วมประชุมแล้ว เขาก็ฟาดเปรี้ยงไปยังประเด็นที่สหรัฐฯ และพันธมิตรห่วงใยอย่างมากถึงการกระทำของจีนที่ดูขัดกับระเบียบสากลในหลายๆ อย่างที่ทำให้เพื่อนบ้านจีนไม่สบายใจ และถูกข่มขู่ คุกคามความสงบในภูมิภาค โดยพูดถึงการโจมตีทางไซเบอร์ต่อสหรัฐฯ, การข่มขู่ด้านเศรษฐกิจ (Economic Coercion) ต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ซินเจียง, ฮ่องกง, ไต้หวัน รวมทั้งการคุกคามความสงบในน่านน้ำทะเลจีน
ฝ่ายจีนเตรียมมาตอบโต้อย่างทันควันที่ว่า อเมริกาเองน่าจะแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนที่บ้านของตนเองดีกว่า เพราะเห็นกันอยู่ทั่วโลกว่าสหรัฐฯ แก้ปัญหาเหยียดผิวไม่ได้ และมีการฆ่าทำร้ายคนผิวดำในสหรัฐฯ จนเกิดขบวนการ Black Lives Matter (ชีวิตของคนผิวดำก็มีค่าเช่นกัน)...นี่ขนาดยังไม่มีกรณีชายหนุ่มชาวผิวขาวไปกราดยิงร้านหมอนวดของชาวเอเชียที่เมืองแอตแลนตาในรัฐจอร์เจีย...ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังการประชุมที่อะแลสกานี้เอง
เป็นอารัมภบทก่อนประชุมที่มีการซัลโวทางวาจาที่ยาวนานเกือบ 1 ชม. ทั้งๆ ที่ได้ตกลงกันก่อนหน้าประชุมว่า จะอารัมภบทกันแค่ไม่ถึง 5 นาที...เพราะจีนตอบโต้ยาวมาก...ส่วนหนึ่งเพราะทีมจีนเลือกใช้ภาษาจีน และทำให้ต้องมีการแปลสดๆ จึงต้องใช้เวลายาวหน่อย
และเมื่อทีมจีนเริ่มตอบโต้ยาวกว่าที่นัดแนะกันไว้ ทางบลิงเคนก็ให้สัญญาณให้ทีมนักข่าวพร้อมกล้อง ให้ออกไปจากห้องประชุม (คือ เขาจะปิดประตูประชุมหารือกันโดยไม่มีนักข่าว)...ปรากฏว่า ทีมจีนกลับบอกนักข่าว ให้ยังเปิดกล้องถ่ายต่อไป เพราะจีนยังพูดไม่จบ!!
สรุปว่า ทั้งสองทีมต่างฟ้องชาวโลกที่ได้ฟังคำตำหนิจากทั้งสองฝ่ายถึงประเด็นต่างๆ ซึ่งจีนเตรียมมาตอบโต้ถึงพริกถึงขิง ที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่า จีนจะไม่ยอมให้สหรัฐฯ กล่าวหาอยู่ฝ่ายเดียว แล้วจีนก็จะสุภาพไม่ตอบโต้ซึ่งๆ หน้า...คราวนี้จีนจวกกลับไปได้แสบทีเดียว
มีข้อสังเกตด้วยว่า ทีมจีนเลือกพูดภาษาจีนแล้วให้นักแปลจัดแปลสดๆ ทั้งๆ ที่หัวหน้าทีมคือ หยาง เจียฉี เรียนจบมาจาก LSE ที่ลอนดอน...สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดีเยี่ยม รวมทั้งหวัง อี้ ก็จบจาก Georgetown ด้วยซ้ำ
ก็คงเช่นเดียวกับทีมบลิงเคนและซัลลิแวนคือ ต้องการให้ประชาชนที่บ้านของตน (Domestic Audience) ได้รับทราบถึงสาระและท่าทีที่แข็งกร้าวของฝ่ายตน ที่เป็นฝ่ายรุกในการเจรจาครั้งแรกนี้
ฝ่ายจีนเลือกใช้ภาษาจีน เพราะคนจีนที่บ้านจะซาบซึ้งต่อภาษาจีนมากกว่าหรือส่วนใหญ่คนจีนจะไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ
ส่วนบลิงเคนก็มีท่าทีแข็งกร้าวผิดปกติ ทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดฉากการประชุม น่าจะเริ่มแบบมิตรไมตรี...แต่เพราะไบเดนต้องการให้คนอเมริกันมองว่า ทีมของไบเดนไม่อ่อนข้อให้จีนดังที่ทรัมป์ได้วางยาพิษเอาไว้ว่า ไบเดนเป็นคนอ่อนปวกเปียก, ไม่เข้มแข็ง, จะหมอบราบคาบแก้วให้จีน ทำให้คนอเมริกาเสียเปรียบกับจีน
ข่าวเล็ดลอดออกมาจากทั้งฝ่ายสหรัฐฯ และจีนว่า หลังกล้องนักข่าวออกไปจากห้องประชุมแล้ว บรรยากาศเป็นมิตรมากกว่าตอนเริ่มประชุมอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะจริงๆ ทั้ง 4 คนต่างรู้จักกันดีมากๆ เนื่องจากเคยได้ร่วมงานกันมานานสมัยไบเดน และประธานาธิบดีสี เป็นรองประธานาธิบดีด้วยกันทั้งคู่
ในเวลาก่อนประชุมที่อะแลสกาไม่กี่ชั่วโมง ก็มีการเชือดเฉือนกันระหว่างปธน.ไบเดน และปธน.ปูติน...แม้จะต่างคนต่างพูดกล่าวหากัน และตอบโต้...ไม่ใช่บนเวทีเดียวกัน แต่การใช้คำพูดแข็งกร้าวของไบเดนที่เรียกปธน.ปูตินว่าเป็น “ฆาตกร” (ฆ่าฝ่ายค้านของปูติน) และประณามปูตินในการแทรกแซงการเลือกตั้งปธน.สหรัฐฯ เมื่อพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งมีหลักฐานจากหน่วยงานข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ได้เปิดเผยรายงานนี้ โดยไบเดนพูดกร้าวว่าปูตินจะต้องจ่ายด้วยราคาแพงจากการแทรกแซงการเลือกตั้ง (เข้าข้างทรัมป์) ในครั้งนี้
ปูตินพูดทางทีวี ในวาระครบรอบ 7 ปีแห่งการครอบครองไครเมีย แล้วตอบโต้ไบเดนว่า อเมริกาชอบสั่งสอนทั่วโลกให้เคารพสิทธิมนุษยชน แต่ตัวเองเป็นผู้ละเมิดอย่างรุนแรง โดยได้ฆ่าทำร้ายชาวอินเดียนแดงตั้งแต่ยุคบุกเบิกเข้าครอบครองดินแดน แล้วยังทำร้ายต่อทาสมาถึง 400 ปีที่ใช้แรงงานทาสในการสร้างอเมริกา, แล้วตามด้วยการใช้ระเบิดนิวเคลียร์ฆ่าชาวญี่ปุ่นตายหลายแสนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และล่าสุดคือฆ่าคนผิวดำอย่างเลือดเย็น (ตำรวจผิวขาวยิงข้างหลังคนผิวดำที่ไม่มีอาวุธ) จนเกิดขบวนการ Black Lives Matter และบ้านเมืองอเมริกาไม่สงบจากการเหยียดผิวนั่นเอง!
ไบเดนเลือกวิธีแข็งกร้าวเปิดฉากความสัมพันธ์กับรัสเซีย ก็เพราะเขาต้องการแสดงถึงความแตกต่างจากนโยบาย และท่าทีของทรัมป์ ทั้งๆ ที่อเมริกาก็จะต้องอาศัยความร่วมมือจากรัสเซียในเรื่องอิหร่านกับการพัฒนานิวเคลียร์
รวมทั้งข้อตกลงจำกัดอาวุธนิวเคลียร์ที่ 2 มหาอำนาจสหรัฐฯ และรัสเซียจะต้องร่วมมือกัน เพื่อประโยชน์ของชาวโลกที่ตั้งความหวังให้ทั้งสองประเทศเดินหน้าต่อในด้านความตกลงจำกัดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์นั่นเอง