ปิดท้ายสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่คงไม่ถึงกับ “หนัก” มากมายสักเท่าไหร่ แม้จะออกไปทาง “ไหลลื่น” แบบต้องคิดหน้า-คิดหลังอยู่พอสมควรเหมือนกัน แต่ก็น่าจะเป็นไปในแง่ “บวก” มากกว่าแง่ “ลบ” อยู่แล้วแน่ๆ นั่นก็คือว่าด้วยเรื่องข้อเสนอของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ “เจ้าชายไฟซาล บิน ฟาห์ฮาน อัล ซาอุด” (Faisal bin Farhan Al Saud) ที่ได้ออกมาป่าวประกาศตั้งแต่เมื่อช่วงวันจันทร์ (22 มี.ค.) ที่ผ่านมา ทำนองว่าราชอาณาจักรซาอุฯ ชักจะเบื่อแล้ว ไม่อยากจะเอาแล้ว กับการทำสงครามยืดเยื้อกับประเทศเล็กๆ จนๆ อย่างเยเมน โดยได้ยื่นข้อเสนอหยุดยิงและพร้อมที่จะยกเลิกการปิดล้อม ปิดกั้น เมืองท่าและสนามบินต่างๆ ให้ฝ่ายตรงข้ามอย่างพวก “กบฏฮูตี” (Houthi) นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณากันเอาเอง...
โดยข้อเสนอดังกล่าวนั้น...พระองค์ชาย “ไฟซาล” ท่านเน้นเอาไว้ด้วยว่า ได้ผ่านการปรึกษาหารือกับบรรดาประเทศอาหรับอย่างเช่นกลุ่มประเทศ “GCC” (Gulf Cooperation Council) รวมทั้งประชาคมระหว่างประเทศและตัวแทนยูเอ็น เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่บ้างตามสมควร แต่ก็นั่นแหละ...หลังจากที่พวกกบฏได้ยิน หรือได้รับข้อเสนอ โฆษกของกองกำลังฮูตี “นายโมฮัมเหม็ด อับดุลซาลาม” (Mohammed Abdulsalam) ก็ได้ออกมาปฏิเสธหรือบอกปัดข้อเสนอเอาดื้อๆ!!! โดยสรุปแบบห้วนๆ สั้นๆ ทำนองว่า “ไม่มีอะไรใหม่” หรือ “ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น” เอาเลยแม้แต่น้อย...
คือถ้าฟังกันแบบผ่านๆ...โดยลักษณะท่าทีของพวกกบฏฮูตี ก็ดูจะน่าเกลียด น่าทุเรศอยู่พอสมควร ขณะที่ฝ่ายซาอุฯ ออกจะเป็นอะไรที่ดูดี ดูเก๋ ดูเท่มิใช่น้อย เพราะแน่ล่ะว่า...สิ่งที่บรรดาผู้คนในประเทศเล็กๆ จนๆ ระดับจนที่สุดในโลกอย่างเยเมนปรารถนาและต้องการเป็นอย่างยิ่ง ก็คงหนีไม่พ้นไปจากการอุบัติขึ้นมาของ “สันติภาพ” ในดินแดนแห่งนี้ หลังจากที่ผู้คนต้องบาดเจ็บ ล้มตาย เพราะพิษภัยสงครามไปแล้วไม่น้อยกว่า 130,000 คนเป็นอย่างน้อย นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2014 เป็นต้นมา ในจำนวนนี้เป็นพลเรือนผู้บริสุทธิ์ไม่น้อยไปกว่า 18,500 คน เป็นเด็กๆ ผู้ไร้เดียงสาไม่ต่ำกว่า 2,300 คน นั่นยังไม่รวมไปถึงประชากรไม่ต่ำกว่า 3.6 ล้านคนที่ต้องเผ่นหนีจากบ้านเกิด เมืองนอน ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เพราะสงครามที่แทบไม่มีวันรู้จบ รวมทั้งประชากรไม่ต่ำกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ ที่ต้องอดอยาก หิวโหย ขาดอาหาร ขาดน้ำ-ขาดท่า ขาดยารักษาโรคและระบบสาธารณสุขที่ดีพอ จนต้องถูกเชื้อโรคระบาดชนิดต่างๆ ตั้งแต่ระดับพื้นๆ อย่างอหิวาต์ บิด และไทฟอยด์ ไปจนถึงระดับทันสมัยอย่างเชื้อไวรัสโควิด-19 เล่นงานชนิดอ่วมอรทัยกาญจนชูศักดิ์มาโดยตลอด...
แต่ก็นั่นแหละ...การที่พวกกบฏออกมาบอกปัด ออกมาตัดบท ไม่ได้คิดจะสนใจข้อเสนอของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ เอาเลยแม้แต่น้อย ก็ออกจะมี “ที่มา-ที่ไป” อยู่บ้างตามสมควร โดยเฉพาะเมื่อคิดกันแบบละเอียดๆ เพราะเท่าที่ผ่านมาทั้งสองฝ่าย ต่างเคยพยายามพูดคุยเจรจากันมาไม่รู้จะกี่รอบต่อกี่รอบ โดยมีตัวแทนสหประชาชาติหรือยูเอ็นคอยสอดแทรก คอยยุ คอยเชียร์ อยู่เบื้องหลังอีกต่างหาก แต่สุดท้าย...ก็ออกไปทาง “แห้วกระป๋อง” ไปด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 หรือประมาณ 1 ปีหลังจากที่ฆ่าฟันกันตายไปแล้วเป็นแผงๆ จนต่างฝ่ายต่างตัดสินใจหันมานั่งโต๊ะพูดคุยกัน ณ ที่ประชุม ในกรุงเจนีวา เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2015 แต่พอหมดรอบ 1 ยังไม่ทันได้เริ่มต้นรอบ 2 ทุกสิ่งทุกอย่างก็พังพินาศเอาดื้อๆ ด้วยเหตุเพราะทั้งสองฝ่ายต่างไม่คิดจะปฏิบัติตามคำมั่น-สัญญาในเรื่อง “การหยุดยิง” ไปด้วยกันทั้งคู่นั่นแล...
ช่วงเดือนเมษายนปี ค.ศ. 2016 ก็คุยกันอีกครั้งที่ประเทศคูเวต โดยมีตัวแทนยูเอ็นคอยยุ คอยเชียร์ ให้เร่งร่วมมือ-ร่วมใจกันสร้างสันติภาพเพื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายอีกเช่นเดิม แต่เมื่อพวกกบฏฮูตีต้องเจอกับข้อเสนอของฝ่ายที่ซาอุฯ ให้การอุ้มชู ดูแล ให้ถอนกำลังทหารทั้งมวลออกไปจากพื้นที่ที่เคยยึดครองและให้วางอาวุธอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถึงจะพอคุยกันต่อได้มั่ง หรือออกไปทาง “เอาดีเข้าตัว” ล้วนๆ ทุกสิ่งทุกอย่าง...ก็เลยพังครืนเป็นคำรบสอง ส่วนครั้งที่สามอุตส่าห์ถ่อไปคุยกันถึงกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดนโน่นเลย แต่สุดท้าย...ก็ยังคง “แห้วกระป๋อง” เหมือนเช่นเคย เพราะต่างฝ่ายต่างก็ยัง “มึงมั่ง-กูมั่ง” หรือไม่มีใคร-ยอมใคร เอาเลยแม้แต่น้อย...
การออกมาป่าวประกาศว่าจะหยุดยิง จะถอนการปิดล้อม ปิดกั้น เมืองท่าสำคัญๆ อย่างเมืองโฮเดดาห์ (Hodeidah) ที่แทบถือเป็นประตูบานเดียว ที่สามารถส่งความช่วยเหลือด้านข้าวปลาอาหาร ยารักษาโรค ให้กับผู้ที่อดอยาก หิวโหย นับสิบๆล้านทั่วประเทศได้มั่ง หรือการเปิดสนามบินในกรุงซานา ที่พวกกบฏยึดครองเอาไว้ได้ ให้เครื่องบินจากประเทศต่างๆ พอหย่อนความช่วยเหลือส่งมาทางหน้าต่างไม่กี่บานที่เหลืออยู่ ของรัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ มันจึงเป็นเพียงแค่ “คำพูด” ที่คงต้องรอการปฏิบัติ หรือ “การกระทำ” ให้เห็นกันจะจะเท่านั้นเอง มันถึงจะพอมี “อะไรใหม่ๆ” ขึ้นมามั่ง หรือพอ “ช่วยให้อะไรต่อมิอะไรดีขึ้นๆ” ไปตามลำดับ จนนำไปสู่ “สันติภาพ” การยุติสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน และหามุมจบแทบไม่เจอ...
ดังนั้น...เมื่อมันเป็นเพียงแค่ “คำพูด” มันก็เลยเป็นไปอย่างที่นักวิจัยแห่ง “The Sanaa Center for Strategic Studies” อย่าง “Casey Coombs” สรุปเอาไว้นั่นแหละว่า สิ่งที่ราชอาณาจักรซาอุฯ ต้องการให้ใครต่อใครเห็นๆ ในช่วงนี้ ก็คือการแสดงตัวเสมือนหนึ่งผู้ที่ “ปรารถนาสันติภาพ” จะด้วยเหตุเพราะหลังๆ นี้กองทัพซาอุฯ และพันธมิตร ไปจนบรรดาชาวซาอุฯ ที่อยู่ลึกเข้าไปภายในประเทศตัวเอง ชักเริ่มขนหัวลุก ขนหัวตั้งยิ่งเข้าไปทุกที เนื่องจากการโจมตีของพวกกบฏฮูตี ที่เล่นแรง และเล่นลึก ส่งเครื่องบินโดรน และจรวดลูกแล้วลูกเล่าไปถล่มถึงภายในประเทศซาอุฯ ไม่ว่ากองบัญชาการทหาร สนามบินคลังน้ำมัน ฯลฯ ต่างถูกเล่นงานหนักขึ้นๆ ล่าสุด...เห็นว่าต้องออกแรงสกัดเครื่องบินโดรนถึง 4 ลำ ที่เล็ดลอดเข้าไปถล่มคลังน้ำมัน “Aramco” ได้ผล-ไม่ได้ผลหรือไม่ อย่างไร ก็มิอาจสรุปได้ ไปจนถึงการขยายเขตโจมตีเพื่อหวังจะยึดเมือง “Marib” จังหวัดด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ ที่เป็นฐานบัญชาการรัฐบาลหุ่นซาอุฯ ชนิดเจียนอยู่-เจียนไป ยิ่งเข้าไปทุกที...
แต่ที่น่าจะมี “น้ำหนัก” ยิ่งกว่านั้น...ก็คืออาจเป็นเพราะว่า ด้วยเหตุเพราะพันธมิตรและผู้สนับสนุนรายใหญ่ของซาอุฯ คือคุณพ่ออเมริกาและประเทศตะวันตก กำลังพยายามหันมาใช้สิ่งที่เรียกว่า “สิทธิมนุษยชน” เป็นอาวุธ ในการต่อสู้และเอาชนะมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซีย อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการ ดังนั้น...ถ้าหากราชอาณาจักรซาอุฯ ไม่คิดจะลดความ “เหี้ย...ย์ย์ย์มม์ม์ม์” ไม่คิดจะหันมาเล่นบท “นักสันติภาพ” เอาไว้มั่ง อาจเป็นอะไรที่ก่อให้เกิดความเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า ต่อบรรดาพันธมิตรและผู้สนับสนุนซาอุฯ โดยใช่เหตุ หรืออาจต้องหันกลับไปคิดเรื่องกรณี “ฆาตกรหั่นศพ” อดีตนักหนังสือพิมพ์ซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” จนกลายเป็นเรื่อง เป็นราว ขึ้นมาอีกจนได้...
อันนี้นี่แหละ...ที่เลยทำให้รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ ต้องออกมากู่ร้องปองรักถึง “สันติภาพ” โดยอาศัย “คำพูด” ล้วนๆ ส่วนการกระทำ หรือการ “ยกเลิกการปิดกั้น-ปิดล้อม” เมืองท่าสำคัญต่างๆ หรือสนามบินกรุงซานา เพื่อให้ชาวเยเมนทั้งหลายพอได้มีโอกาสดื่มน้ำ ดื่มท่าสะอาดๆ ได้มั่ง ได้กินข้าวปลาอาหาร ได้ยารักษาโรค หรือได้บุคลากรด้านสาธารณสุขมาช่วยเหลือ เยียวยา ผู้ล้มป่วย เจ็บป่วย ด้วยเชื้อโรคชนิดต่างๆ เพิ่มไปกว่าเท่าที่เป็นอยู่ หรือที่มีบุคลากรด้านสาธารณสุขเหลืออยู่เพียงแค่ 10 คน ต่อจำนวนประชากรประมาณ 10,000 คน อะไรทำนองนี้ เพื่อให้มีโอกาสประคบประหงมบรรดาเด็กๆ ผู้บริสุทธิ์ผู้ไม่รู้เดียงสา ที่ต้องตายคาเตียง คาผ้าอ้อม ระดับชั่วโมงละ 4 คน 5 คน เป็นอย่างน้อย ฯลฯ บรรดาสิ่งต่างๆ เหล่านี้...แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามอย่างพวกกบฏฮูตี จะตอบรับหรือไม่ตอบรับข้อเสนอ รัฐบาลซาอุฯ ก็สามารถปฏิบัติได้โดยทันที เพียงแต่แค่ยังพอหลงเหลือสิ่งที่ถือ “สัญชาติแห่งความเป็นมนุษย์” ติดปลายนวมอยู่บ้าง หรือยังพอหลงเหลือความเมตตา กรุณา ปรานี อันเป็นสิ่งที่มวลมนุษย์พึงมี นั่นแล...