xs
xsm
sm
md
lg

โถส้วม...กับอเมริกัน สแตนดาร์ด!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท



ปิดฉากสัปดาห์นี้...ด้วยเรื่องที่ไม่น่าจะถึงกับ “หนัก” จนเกินไป ส่วนจะ “เบา” ขนาดไหน โหวงๆ เหวงๆ กันเลยหรือไม่ อย่างไร อันนั้น...คงต้องไปชั่งน้ำหนักกันเอาเองก็แล้วกัน คือเรื่องประเภท “อเมริกัน สแตนดาร์ด” หรือ “มาตรฐานอเมริกัน” นั่นแหละทั่น ว่ามันจะสูงส่ง วิเศษวิเสโส จนควรต้องนำมาใช้แบบอย่าง แนวทาง ในการปลุกกระตุ้น รื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ เกรียงไกรของประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกัน หรือแบบยุโรปตะวันตกก็แล้วแต่ ตามที่ผู้นำรายใหม่ของอเมริกา อย่าง “ผู้เฒ่าโจ” ท่านได้ออกมาป่าวประกาศ หรือโฆษณาหาเสียง ในแบบ “Build Back Better” หรือแบบ “The Great Reset” ก็ตามที หรือเอาไป-เอามาแล้ว...มันยังหนักไปทาง “ชักโครก” หนักไปทาง “โถส้วม” แบบประเภทเครื่องสุขภัณฑ์อเมริกัน สแตนดาร์ด อะไรประมาณนั้น...

คือเรื่องทำนองนี้...คงไม่ต้องเสียเวลาไปดูอื่น ดูไกล เพราะสามารถดูได้จากพฤติกรรม การกระทำของรัฐบาลอเมริกันคราวล่าสุด ที่เพิ่งปรากฏเป็นข่าว เป็นคราว ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ นั่นก็คือการแสดงออกถึงปฏิกิริยาอาการต่อความเหี้ย...มม์ม์ม์โหด ผิดมนุษย์มนา ของผู้ที่ถือเป็น “พันธมิตร” รายสำคัญของอเมริกาและอิสราเอลในแนวรบตะวันออกกลาง นั่นคือมกุฎราชกุมาร เจ้าชาย “MbS” หรือ “Mohammed bin Salman” ผู้ที่กำลังจะผงาดขึ้นเป็นกษัตริย์ของราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียในอีกไม่นาน-ไม่ช้า นั่นแหละสหาย!!!

หรือหลังจากหน่วยงานข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐบาลใหม่ กล้าที่จะเปิดเผยเอกสารรายงานอย่างเป็นทางการ สรุปว่าเจ้าชาย “MbS” รายนี้ น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องแบบจะจะ จังๆ ในการสั่งการให้ทีมงานนักฆ่า นักสังหารชาวซาอุฯ บินตรงไปยังประเทศตุรกี หลอกล่อให้อดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ผู้มีนิวาศสถานอยู่ในอเมริกา แถมยังเป็นคอลัมนิสต์ชื่อดังของหนังสือพิมพ์ในอเมริกาอย่าง “วอชิงตัน โพสต์” ซะอีกด้วย อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” (Jamal Khasoggi) เข้ามาติดกับดัก แล้วจัดการรัดคอ เอาถุงคลุมหัว หรือโดยกรรมวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ จากนั้นก็โอนหน้าที่ให้ “นักชำแหละ” จากซาอุฯ หั่นแขน หั่นขา แยกชิ้นส่วนร่างกายของอดีตนักหนังสือพิมพ์รายนี้ โดยจะเอาไปฝัง ไปซุกซ่อน อยู่ที่ไหนต่อที่ไหนก็มิอาจสรุปได้ อันถือเป็นอะไรที่เหี้ยมแสนเหี้ยม ชนิด “ม.ม้า” แทบวิ่งตามไม่ทันเอาเลยถึงขั้นนั้น...

แต่เมื่อ “ข้อสรุป” ที่เพิ่งได้รับการเปิดเผยเป็นไปในลักษณะนี้...แทนที่รัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ ซึ่งหวังจะอาศัยความยิ่งใหญ่ เกรียงไกรของระบอบ “ประชาธิปไตย” ที่ได้ให้ค่า ให้ความสำคัญกับ “เสรีภาพ” และ “สิทธิมนุษยชน” เอาไว้อย่างสูงส่งเอามากๆ มาใช้เป็นเครื่องมือในการต่อสู้กับคู่แข่งกับผู้ท้าทายใดๆ ก็แล้วแต่ คิดจะทำอะไรต่อมิอะไรกับผู้ที่ล่วงละเมิดเสรีภาพล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชนแบบสุดฤทธิ์ สุดเดช อย่างเจ้าชาย “MbS” รายนี้ ให้เป็นเรื่อง เป็นราว หรือเป็นจริง เป็นจังขึ้นมามั่ง ปรากฏว่า...รัฐบาลอเมริกันชุดใหม่ของ “ผู้เฒ่าโจ” กลับหันคว้า “เชาวริน” (สากกะเบือ) มา “อม” กันไปเป็นแถบๆ ไม่ว่าจะเป็น “นางเจน ซากี” (Jen Psaki) โฆษกทำเนียบขาว หรือ “นายเน็ด ไพรซ์” (Edward “Ned” Price) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่ออกมาแถลงไปในแนวเดียวกัน ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ คง “ไม่ทำอะไรเลย” กับเจ้าชายฆาตกรรายนี้ หรือพยายามหันไปให้ความสำคัญกับ “พฤติกรรมในอนาคต” ซะเป็นหลัก ส่วนอะไรที่เคยเป็นมาในอดีต คงต้องปล่อยให้เลยตามเลย อะไรประมาณนั้น...

อันนี้...ต้องเรียกว่า เล่นเอาระดับผู้ตรวจสอบพิเศษด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ อย่าง “นางแอกเนส คัลลามาร์ด” (Agnes Callamard) ถึงขั้น “ผงะ” หรือถึงกับตกตะลึง ตาค้าง แทบไม่เชื่อหูตัวเองเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือถึงขั้นต้องออกมาป่าวประกาศเอาไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ (1 มี.ค.) ที่ผ่านมาว่า... “รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังสร้างแบบอย่าง (มาตรฐาน) ที่...อันตราย เป็นอย่างยิ่ง!!!” คือถึงแม้จะมีข้อสรุปว่าเจ้าชายฆาตกรรายนี้ มีส่วนรู้เห็นกับการ “ฆ่าหั่นศพ” อย่างมิอาจปฏิเสธได้แล้วก็ตาม แต่กลับ “ปฏิเสธที่จะใช้บทโทษใดๆ” หรือ... “ในมุมมองของดิฉัน...มันถือเป็นเรื่องอันตรายและเป็นปัญหาอย่างมาก กับการที่คุณ (รัฐบาลอเมริกัน) ออกมาตราหน้าใครคนหนึ่งว่าเป็นผู้กระทำผิด จากนั้น...ก็บอกว่า เราจะไม่ทำอะไรเลยโปรดทำเป็นเหมือนกับว่า เราไม่ได้พูดอะไรก็แล้วกัน...”

นี่...โถส้วม-ไม่โถส้วม ก็ลองไปคิดดูเอาเองก็แล้วกัน เพราะที่หนักยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นอกจากไม่คิดจะทำอะไรกับเจ้าชายฆาตกรรายนี้เอาเลยแม้แต่น้อย รัฐบาลสหรัฐฯ โดยกระทรวงการคลัง กลับหันไปป่าวประกาศเมื่อช่วงวันอังคาร (2 มี.ค.) ที่ผ่านมา ว่าได้ออกมาตรการคว่ำบาตร หรือ “แซงชั่น” ต่อ 2 ผู้นำกบฏชาวเยเมน ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก อย่างประเทศเยเมน จากการโจมตีและปิดล้อมโดยรัฐบาลซาอุฯ และพันธมิตร นั่นคือ “นายมันซูร์ อัล ซาดี” (Mansur Al-Sa’adi) และ “นายอาหมัด อาลี อัล ฮัมซี” (Ahmad AliAhsan al-Hamsi) ที่มีฐานะเป็นผู้ควบคุมกองกำลังทางน้ำและทางอากาศของพวก “กบฏฮูตี” (Houthi) ด้วยข้อกล่าวหาประมาณว่า เนื่องจากบุคคลทั้งสองมีส่วนพัวพันกับการสั่งการให้โจมตีสนามบินของพลเรือน หรือคลังน้ำมัน ในประเทศซาอุฯ อันถือเป็นการดำเนินการในทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีทางทหารแบบปกติธรรมดา เพื่อต่อสู้กับผู้รุกราน หรือเพื่อปกป้องอำนาจอธิปไตยภายในแผ่นดินตัวเอง ที่ถูกกองกำลังซาอุฯ และพันธมิตรถล่มแล้ว ถล่มเล่า ทั้งปิดล้อม ทั้งเล่นงาน จนชาวเยเมนระดับนับสิบๆ ล้าน กำลังป่วยตาย หรือขาดอาหารตาย ชนิดกลายเป็น “โศกนาฏกรรมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ” นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา เอาเลยถึงขั้นนั้น...

คือทั้งๆ ที่รัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ” เองนั่นแหละ เคยประกาศเอาไว้ตั้งแต่หาเสียง หรือหลังจากเป็นประธานาธิบดี ว่าจะไม่สนับสนุนการทำ “สงครามเยเมน” อีกต่อไป แต่การกระทำเช่นนี้ ก็คือความพยายามมัดแขน มัดขา ผู้ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลซาอุฯหรือเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าชายฆาตกรสามารถแสดงความเหี้ย...มม์ม์ม์แบบชนิด “ม.ม้า” วิ่งตามยังไงก็ตามไม่ทันต่อไปได้เรื่อยๆ หรือเพื่อเปิดโอกาสให้พันธมิตรรายสำคัญของสหรัฐฯ และอิสราเอลในแนวรบตะวันออกกลาง ช่วยต่อต้าน เล่นงาน ประเทศ “คู่กัด” อย่างอิหร่าน ได้อย่างถนัดมืด ถนัดตีน ตามแนวนโยบายต่างประเทศของอเมริกา ที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนั่นเอง...

ความสูงส่ง วิเศษวิเสโสของประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกัน หรือตะวันตกก็แล้วแต่ จึงกลายเป็นภาระของตัวแทนปวงชนชาวสหรัฐฯ รายเดียวเท่านั้นเอง คือ ส.ส.พรรคเดโมแครต อย่าง “นางอิลฮาน โอมาร์” (Ilhan Omar) ที่ออกมาประกาศว่าเตรียมที่จะ “เสนอกฎหมาย” ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า “Mohammed bin Salman Must be Sanctioned Act” หรือกฎหมายที่มุ่งต่อต้าน เล่นงาน เจ้าชายฆาตกรแห่งซาอุฯ รายนี้เป็นการเฉพาะ ด้วยเหตุผลแบบง่ายๆ และตรงไป-ตรงมาประมาณว่า... “ถ้าหากรัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนการแสดงออกถึงเสรีภาพ สนับสนุนประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนอย่างจริงใจและจริงจัง ก็ไม่มีเหตุผลใดๆ เลยที่อเมริกาจะสงวนสิทธิ์ หรือไม่คิดจะแซงชั่นเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ชายผู้ซึ่งหน่วยข่าวกรองของเราพบและได้พิสูจน์แล้วว่า มีส่วนในการฆาตกรรมชาวซาอุฯ ที่พำนักอยู่ในสหรัฐฯ และนี่...ถือเป็นบททดสอบต่อความหมายของคำว่าสิทธิมนุษยชนของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน...”

ส่วน “กฎหมาย” ที่ว่านี้...จะผ่าน-ไม่ผ่านรัฐสภาสหรัฐฯ คงต้องไปตามกันต่อไปเป็นระยะๆ แต่ที่แน่ๆ ก็คือองค์กรเอกชนบางองค์กร อย่างองค์กร “RSF” หรือ “Reporters Without Border” ในประเทศเยอรมนี ก็คงไม่คิดจะรอคำนิยาม ความหมายของคำว่า “เสรีภาพ” หรือ “สิทธิมนุษยชน” ตาม “มาตรฐานอเมริกัน สแตนดาร์ด” อีกต่อไปแล้ว ถึงได้ตัดสินใจยื่นฟ้องศาลในเยอรมนี ให้เล่นงานเจ้าชาย “MbS” ทั้งในข้อหาฆาตกรรม “จามาล คาช็อกกี” ไปจนถึงการกักขัง หน่วงเหนี่ยว นักข่าวนักหนังสือพิมพ์อีกไม่ต่ำกว่า 33 ราย โดยจะก่อให้เกิดผลประการใด หรือไม่ อย่างไรก็ตามที แต่นั่นอาจต้องถือเป็นสิ่งที่พึงสำนึกและตระหนักเอาไว้ ณ ที่นี้ว่าสำหรับ “มาตรฐานอเมริกัน” แล้ว คงไม่ต่างอะไรไปจาก “โถส้วม” นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น