การชุมนุมของ การชุมนุมของ กปปส.แม้จะมีจุดมุ่งหมายและเจตนาเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปตามครรลองที่ถูกต้องมีเจตนาดีต่อประเทศชาติ เพื่อต่อต้านรัฐบาลฉ้อฉลและกระทำการที่ผิดต่อความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ แต่แกนนำก็ถูกศาลสั่งจำคุกแตกต่างกันไปตามพฤติกรรมที่ขัดต่อกฎหมายของแต่ละคน
มันน่าสะท้อนใจเหมือนกันว่า หากเราเห็นการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉลของรัฐบาลแล้ว กระบวนการตามปกติไม่สามารถจัดการกับพฤติกรรมและการใช้อำนาจที่ฉ้อฉลนั้น หากประชาชนจะลุกฮือขึ้นประท้วงต่อต้านขัดขวางก็อาจจะต้องเผชิญกับความผิดตามกฎหมายดังมีบทเรียนให้เห็นแล้วจากการชุมนุมของทุกฝ่ายทุกสีเสื้อ
นับต่อจากนี้ไปก็อาจจะไม่มีใครเอาชีวิตไปแลกต่อความเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางแบบนี้อีก และประเทศชาติก็คงต้องเดินไปตามแต่บุญกรรมที่คนไทยทำร่วมกันไว้
แต่ถ้าถามว่าไม่มีใครได้รับประโยชน์จากผลพวงการต่อสู้ของ กปปส.เลยก็คงไม่ใช่ เพราะพูดได้เลยว่า ที่มาของรัฐบาลชุดนี้ก็มาจากการต่อสู้ของ กปปส.นี่แหละ และมีความลับที่ไม่ปิดบังเพราะถูกเปิดเผยออกมาด้วยว่า ก่อนที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหารนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกในขณะนั้นก็มีการติดต่อกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำของ กปปส.มาโดยตลอด
คงไม่มีใครปฏิเสธว่า ถ้าไม่มี กปปส. พล.อ.ประยุทธ์ก็คงจะไม่มีวันนี้
โชคดีของพล.อ.ประยุทธ์และพวกขุนศึกทั้งหลาย แม้จะกระทำการรัฐประหารซึ่งมีความผิดที่รุนแรงกว่าการกระทำของแกนนำ กปปส. แต่พล.อ.ประยุทธ์และคณะก็สามารถที่จะนิรโทษกรรมความผิดให้กับตัวเองได้ในฐานะรัฏฐาธิปัตย์ จึงไม่ได้รับผลกรรมเป็นคุกตะรางแบบที่แกนนำ กปปส.รับไป
แน่นอนการรัฐประหารได้รับการสนับสนุนจาก กปปส.และมวลชน กปปส. เพราะถ้าไม่รัฐประหารก็นึกไม่ออกเลยว่าประเทศจะเดินไปอย่างไร ในภาวะที่บ้านเมืองกำลังกลายเป็นกลียุคไปสู่รัฐล้มเหลว และฝ่ายที่สนับสนุนรัฐในขณะนั้นติดอาวุธใช้ความรุนแรงในการตอบโต้กับผู้ชุมนุมจนมีผู้บาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก
แต่หลังได้อำนาจรัฐบาลรัฐประหารก็ใช้เวลายาวนานถึง 5 ปีในการเก็บอำนาจไว้กับตัวเอง โดยที่ไม่ได้ตอบสนองข้อเรียกร้องในการปฏิรูปด้านต่างๆ ซึ่งเป็นข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมเลย มีแต่ความพยายามกระชับอำนาจและหาทางออกแบบรัฐธรรมนูญเพื่อสืบทอดอำนาจของตัวเองและพรรคพวกเอาไว้หลังการเลือกตั้ง
เมื่อรัฐบาลทหารตั้งพรรคการเมืองเพื่อเข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้งจากรัฐธรรมนูญที่เขียนให้ตัวเองได้เปรียบไว้ มวลชนและแกนนำ กปปส.ก็ยังคงสนับสนุนรัฐบาลประหารเพื่อให้สืบทอดอำนาจผ่านการเลือกตั้งด้วยฤทธิ์ของรัฐธรรมนูญที่ออกแบบเอาไว้ เพราะรู้ว่าเป็นทางเดียวที่จะต่อสู้กับพรรคการเมืองของทักษิณที่พวกเขาเกลียดชังได้
เหมือนกับว่าทหารกับ กปปส.นั้นเป็นหุ้นส่วนของอำนาจกัน กระทั่ง กปปส.ไม่ได้ใส่ใจเลยว่า สิ่งตัวเองเคยต่อสู้และเรียกร้องในการชุมนุมที่ต้องการปฏิรูปแลกไปด้วยเลือดเนื้อและชีวิตนั้นได้ถูกลงมือทำเพื่อให้เกิดมรรคผลจากรัฐบาลประยุทธ์หรือไม่ คิดเพียงแต่ว่า ขอไม่ให้เป็นรัฐบาลของทักษิณหรือแนวร่วมของทักษิณก็เพียงพอแล้ว
วันนี้ กปปส.ต้องเข้าคุกเข้าตะรางไปทั้งหมด แม้ตอนนี้เพิ่งจะเป็นศาลชั้นต้นและสามารถประกันตัวออกมาสู้คดีได้ก็ตาม เหลือแต่อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์กับพรรคพวกที่ยังคงมั่นคง เพราะกุมอำนาจมาแล้ว 7 ปี
แต่หากเราเอาตัวเองถอยจากการแบ่งฝ่ายออกจากความขัดแย้งของคนไทยที่แบ่งออกเป็นฝ่ายต่อต้านรัฐบาลและฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล เราก็มองไม่ออกเลยว่า รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์นั้นต่างจากรัฐบาลที่เราเคยต่อต้านอย่างไร ตอนนี้รัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐที่เหลืออยู่ก็มาจากอดีตคนของพรรคของทักษิณแทบทั้งหมดต่างกันแค่นายกรัฐมนตรีเท่านั้นเอง
มองไม่เห็นเลยว่า การอยู่ในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์นั้นตอบสนองต่อการเอาชีวิตเข้าแลกจนกระทั่งต้องเดินสู่คุกสู่ตะรางของแกนนำ กปปส.อย่างไร อะไรคืออานิสงส์ที่มวลมหาประชาชนหลายล้านที่ออกมาต่อสู้บนท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาลของทักษิณได้รับจากการดำรงอยู่ในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์และพรรคพวก
นอกจากพล.อ.ประยุทธ์ แปรสภาพจากทหารเป็นนักการเมืองธรรมดาคนหนึ่ง เช่นกันกับ 2 ป.ที่เหลือ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่นับวันยิ่งจะมีอำนาจบารมีล้นจนกลายเป็นผู้มีอิทธิพลที่ถนนทุกสายต้องวิ่งเข้าหา หรือพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กลายเป็นขุนนางที่ซุ่มเงียบครองอำนาจในมหาดไทยมาอย่างยาวนาน
พูดได้ว่า ผลประโยชน์และชะตากรรมของประเทศชาติตกอยู่ในมือของพี่น้อง 3 ป.
กองเชียร์รัฐบาลบางคนอาจจะยกอภิมหาโครงการที่เกิดขึ้นในสมัยของรัฐบาลประยุทธ์เพื่อมายกยอว่านี่ไงเป็นผลงานของรัฐบาล แต่ไม่ได้พูดว่า โครงการเหล่านั้นเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มทุนไม่กี่กลุ่ม แล้วมีเบี้ยบ้ายรายทางตกหล่นจนกลายเป็นผลประโยชน์แก่ใครบ้าง หรือมีขั้นตอนที่พิสดารซ่อนเงื่อนอย่างไร
รัฐบาลประยุทธ์ก็อาศัยความขัดแย้งของประชาชนนี่แหละที่ใช้เป็นเครื่องมือในการแบ่งแยกแล้วปกครองอย่างได้ประโยชน์ โดยไม่ต้องตอบสนองข้อเรียกร้องของประชาชนไม่ว่าฝ่ายไหน เพราะรู้ว่าอย่างไรเสียจะต้องมีประชาชนอีกฝ่ายออกมาปกป้องรัฐบาลเสมอ
7 ปีที่อยู่ในอำนาจเราจึงไม่เห็นความพยายามของรัฐบาลที่จะขจัดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน เพราะตัวเองได้ประโยชน์จากความขัดแย้งนั้นนั่นเอง
อีก 2 ปีที่เหลือซึ่งจะอยู่ในอำนาจ อันหมายถึงพล.อ.ประยุทธ์จะครองอำนาจต่อเนื่องยาวนานถึง 9 ปี และหากไม่สามารถแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ และ ส.ว.ยังคงโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นั่นหมายความว่ารัฐบาลจะอยู่ต่อให้ได้อีก 4 ปีรวมเป็น 13 ปี ถามว่าเราจะยอมอยู่ภายใต้รัฐบาลนี้ไปถึงวันนั้นไหม
เมื่อเราเห็นภาพของการแย่งชิงอำนาจเมื่อเก้าอี้รัฐบาลว่างลง และการจัดสรรคนเข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีแต่ละคนนั้นก็ไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ คำนึงเพียงว่าเป็นคนของใครมี ส.ส.ในมือกี่คน ใครเข้าถึงอำนาจของ 3 ป.มากกว่ากัน ไม่ได้ต่างไปจากการเมืองเก่าที่เราเกลียดชังต่อสู้เรียกร้องด้วยชีวิตเพื่อให้ไปสู่การเมืองแบบใหม่
ถามว่านี่หรือคือเป้าหมายที่มวลมหาประชาชนออกมาเรียกร้องในนามของ กปปส. นี่หรือการต่อสู้เพื่อที่พวกเราออกมาต่อต้านคัดค้านระบอบทักษิณไม่ให้กลับมามีอำนาจทางการเมืองและเรียกหาการปฏิรูปการเมือง
รัฐบาลที่เรากำลังช่วยกันปกป้องราวกับเป็นไข่ในหินนี้ได้ตอบสนองต่อการต่อสู้ของพวกเราอย่างเต็มกำลังความสามารถแล้วหรือ หรือเรายังคาดหวังว่าอีก 2 ปีที่เหลือ ลุงตู่จะตอบสนองต่อข้อเรียกร้องที่ต่อสู้มาของเรา แม้ว่าจะผ่านมาแล้ว 7 ปีด้วยความว่างเปล่า
เราคงต้องถามตัวเองว่า การออกมาต่อสู้เพื่อชาติบ้านเมืองของเรานั้นได้รับการตอบสนองที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้างภายใต้อำนาจของรัฐบาล 3 ป.ชุดนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan