“วีรพร นิติประภา” นักเขียนซีไรต์ราดน้ำมันบนกองไฟ บอกคนรุ่นใหม่เกลียด กปปส.เพราะพ่อแม่เกรี้ยวกราด หยาบคาย เสียสติ ใช้อำนาจเผด็จการ ทำลายวัยเด็กไป คอลัมนิสต์ไทยโพสต์ฟาดกลับ กปปส.ไม่ใช่นิยาย ตายจริงเจ็บจริง แกนนำไม่หนีไปไหน มีแต่ทักษิณหนีคดีให้คนข้างหลังติดคุก ประเมินผิดเพราะเกลียดชัง พ่อแม่ที่ไปชุมนุมไม่ใช่วัวควาย ย้อนกลับ “ม็อบสามนิ้ว” ที่ขัดแย้งเกลียดชัง เป้าหมายพุ่งไปที่สถาบันฯ รู้หรือไม่ว่าเอาความคิดมาจากไหน
วันนี้ (26 ก.พ.) เฟซบุ๊ก Veeraporn Nitiprapha ของนางวีรพร นิติประภา นักเขียนรางวัลซีไรต์ และผู้ก่อตั้งกลุ่มแคร์ ร่วมกับนายภูมิธรรม เวชยชัย และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี เครือข่ายนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน โพสต์ข้อความหลังจากที่ศาลอาญามีคำพิพากษาชั้นต้น จำคุกแกนนำและแนวร่วมกลุ่ม กปปส. นำโดยนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เมื่อวันที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา ระบุว่า “สิ่งที่เพื่อนๆ กปปส.อาจไม่รู้ เด็กๆ รุ่นใหม่โกรธและเกลียดพวกคุณมากนะ หลายคนจดจำพ่อแม่ที่อบอุ่นน่ารักเข้าอกเข้าใจ ซึ่งกลายสภาพเป็นคนเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติในช่วงเวลาการเคลื่อนไหวนั้นได้ และเขาก็ไม่ให้อภัยช่องทีวีหลายๆ ช่องที่ปลุกปั่นพ่อแม่เขาด้วย ความเกลียดชังมหาศาลหนนั้นกัดกร่อนทำลายจนพ่อแม่เขาไม่เคยกลับไปเป็นคนเดิมอีก มิหนำ การล้มรัฐบาลเลือกตั้งเชียร์รัฐประหารยังทำให้บุพการีเหล่านั้นเลี้ยงดูพวกเขามาอย่างใช้อำนาจเผด็จการ และทำลายวัยเด็กของพวกเขาไป ไม่รู้จะบอกพวกพ่อแม่ยังไงเวลามาปรึกษาว่าทำไมลูกไม่รัก”
อย่างไรก็ตาม คอลัมน์อ่านเอาเรื่อง ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ 26 ก.พ. 2564 ซึ่งเขียนโดยนามปากกา “ผักกาดหอม” เขียนบทความในหัวข้อ “กปปส.ไม่ใช่ปีศาจ” ระบุว่า นึกไม่ถึงว่านี่คือข้อเขียนของนักเขียนรางวัลซีไรต์ แต่เมื่อดูพื้นฐานในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มแคร์ ก็ไม่ประหลาดใจอะไร เพราะเป็นสาวกนายทักษิณ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับคนรักทักษิณก็มีมุมมองต่อ กปปส.แบบนี้ น่าเสียดายที่คนมีความรู้ความสามารถ น่าจะสร้างความไม่ธรรมดาในมุมมองที่มีต่อคนที่เห็นต่างทางการเมืองได้
ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่า กปปส.สร้างความเสียหายให้แก่สังคมไทยจริงหรือไม่ โดยเฉพาะครอบครัวที่กล่าวหาว่าพ่อแม่เป็นคนเกรี้ยวกราด หยาบคาย เสียสติ เห็นว่าความเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติของผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าราษฎร หรือม็อบสามนิ้ว มาจากไหน ถ้าคุยกันเรื่องพวกนี้ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานข้อเท็จจริงก่อน ถ้าเริ่มต้นด้วยเรื่องชอบหรือไม่ชอบ จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากความเกลียดชัง
ผักกาดหอม ยังยกบทสัมภาษณ์ของนางวีรพร ที่ให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ เมื่อเดือน ต.ค. 2561 ถึงวิธีการเขียนนวนิยาย ระบุว่า “...ทุกครั้งต้องถามตัวเองว่า เราได้ให้ความยุติธรรมกับตัวละครทุกตัวหรือไม่ พี่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ งานเขียนมันจะดีหรือไม่ดี ไม่ได้อยู่ที่พล็อตประหลาดมหัศจรรย์ แต่อยู่ที่ตัวละครทุกตัวได้รับความยุติธรรมเท่ากัน มีความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน มีเหตุและผลเพียงพอที่เขาจะทำดี ทำชั่ว ฆ่าตัวตาย หัวเราะ ร้องไห้ เราจำเป็นต้องสร้างสิ่งนี้ให้มีอยู่ในเรื่อง ต่อให้เรื่องจะงี่เง่าแค่ไหน ขายได้ ขายไม่ได้ ก็อีกเรื่องหนึ่ง...” โดยเห็นว่า เป็นเรื่องน่านับถือกับการให้ความเท่าเทียมในความเป็นมนุษย์ของตัวละคร และจะยิ่งน่านับถือมากขึ้นไปอีก หากนางวีรพรมองความเท่าเทียมในตัวมนุษย์จริงๆ แต่น่าเสียดายที่กลุ่ม กปปส.ในสายตานางวีรพร เทียบกับตัวละครในนวนิยายไม่ได้เลย
“กปปส.ไม่มีพล็อตมหัศจรรย์ มีแค่ 24 ชีวิตที่ต้องสูญเสียไป และอีกกว่า 900 คนได้รับบาดเจ็บ มีแกนนำที่ยืนหยัด แม้รู้ว่าคุกรออยู่ข้างหน้า ไม่คิดหนีไปไหน ต่างไปจากกลุ่มแคร์ที่อัดแน่นไปด้วยเด็กทักษิณ คือทักษิณที่หนีคดีโกงไปต่างประเทศ ให้คนอยู่ข้างหลังติดคุกแทน ฉะนั้น หากจะพูดถึงความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ต้องมองข้อเท็จจริงเหล่านี้ให้ออกก่อน พ่อแม่รุ่น กปปส.ทำในสิ่งที่เด็ก 3 นิ้วไม่ทำ กปปส.ตอกย้ำให้เห็นถึงการคอร์รัปชันมโหฬารในรัฐบาลระบอบทักษิณ และความพยายามจะนิรโทษกรรมให้คนโกง” นามปากกาผักกาดหอม ระบุ
คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ยังกล่าวอีกว่า ปฏิเสธไม่ได้ว่าความรุนแรงในถ้อยคำบนเวทีปราศรัยนั้น มีอยู่ทุกม็อบ แต่ก็มีดีกรีความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป ถ้าบอกว่าบนเวที กปปส.เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราดหยาบคายเสียสติ บนเวทีเสื้อแดงหนักกว่าหลายเท่า เช่นคำว่า “เผาเลยครับพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง” (คำพูดของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) “ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามาหนึ่งล้านคนในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมันหนึ่งล้านลิตร รับรองว่า กทม.เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน” (คำพูดของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง) หรือแม้กระทั่งผู้ชุมนุมกลุ่มที่เรียกตัวเองว่าราษฎร เห็นว่าความเกรี้ยวกราด หยาบคาย เสียสติ ต้องคูณเป็นร้อยเท่า
“วีรพรประเมินผิดเพราะความเกลียดชัง สำหรับพ่อแม่ยุค กปปส.แล้ว คนกลุ่มนี้ไม่ใช่วัว ไม่ใช่ควาย ที่ทีวีจะปั่นหัวให้เชื่อกันง่ายๆ โดยไม่สนใจข้อเท็จจริง ม็อบ กปปส.คือม็อบชนชั้นกลางในเมือง ซึ่งก็อธิบายในตัวมันเองอยู่แล้วว่าคนกลุ่มนี้คือคนแบบไหน หากลูกๆ มองเป็นปีศาจทำร้ายครอบครัว ทำลายเด็ก ประเทศไทยล่มจมไปนานแล้ว ขณะเดียวกันเด็ก 3 นิ้ว กำลังลากความขัดแย้ง สร้างความเกลียดชัง เป้าหมายล้มล้างสถาบันนี่ต่างหาก จะพาประเทศไปสู่การนองเลือดครั้งใหญ่ วีรพร รู้หรือเปล่าว่า เด็ก 3 นิ้วเอาความคิดแบบนี้มาจากไหน?” นามปากกาผักกาดหอม ระบุ
ผักกาดหอมยังกล่าวทิ้งท้ายว่า แม้จะเป็นคำพิพากษาของศาลชั้นต้นคดี กปปส. แต่มีประเด็นที่สำคัญซ่อนอยู่ โดยเฉพาะฐานความผิดของนายสุเทพ นับจากนี้ไปแกนนำม็อบทุกม็อบต้องเตรียมใจตั้งแต่แรกว่าวันหนึ่งจะต้องเจอแบบที่นายสุเทพและคณะกำลังเจออยู่ในตอนนี้ และมาถึงจุดที่คนไทยต้องร่วมกันคิดว่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่การเมืองต้องแก้ไขกันในสภา การเปลี่ยนแปลงต้องผ่านการเลือกตั้ง ไม่ใช่บนถนน ไม่เช่นนั้นจะสลับข้างไม่จบสิ้น แต่การนำความขัดแย้งไปแก้ในสภา ก็เป็นเรื่องยาก หากนักการเมืองไม่ปฏิรูปตัวเอง