หายหน้า-หายตาไปร่วมๆ สัปดาห์...โดยคราวนี้คงไม่ได้เกี่ยวกับ “ความแก่-ความชรา”โดยตรงมากมายสักเท่าไหร่ แต่ดันเพราะ “คอมพิวเตอร์”ของคนแก่ เกิดเจ๊งไม่เป็นท่า ไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ด้วยสาเหตุประการใดก็มิอาจคาดคำนวณ หรืออรรถาธิบายได้ง่ายๆ อันเนื่องมาจากความเก่า ความแก่ หรือความ “โลว์เทค”นั่นแหละสหาย เลยทำให้ไม่มีโอกาสขีดๆ-เขียนๆ จิ้มๆ-ทิ่มๆ เหมือนอย่างเคย และคงต้อง “ขอประทานโทษ” มาไว้ ณ ที่นี้...
แต่เอาเป็นว่า...หลังจากบรรดาเด็กๆ หรือคนรุ่นใหม่ ประเภทนิ้วหัวแม่โป้งพองโต เขาได้เข้ามาช่วยกอบกู้ บูรณะปฏิสังขรณ์สิ่งที่เรียกๆ กันว่า “ฮาร์ดดิสก์” อะไรประมาณนั้นไปเป็นที่เรียบร้อย เปิดฉากสัปดาห์นี้...เลยคงต้องเริ่มด้วยเรื่องราวเหตุการณ์ที่ไม่ถึงกับไกลตา-ไกลตีนจนเกินไป คือแถบๆ บ้านใกล้-เรือนเคียง หรือแถวๆ ประเทศพม่า เมียนมานั่นแหละทั่น เพราะเท่าที่พวก “ม็อบเคาะหม้อ”เขาตัดสินใจ “ลงถนน”มาเกือบร่วมเป็นเดือนๆ เข้าไปแล้ว คงต้องยอมรับว่า...ยังแทบไม่ออกอาการ “หัวตก”หรือ “เหี่ยวปลาย” เอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังทำท่าว่าน่าจะดุเดือด เลือดพล่านขึ้นไปตามลำดับ ไม่ว่าในระดับภายใน หรือภายนอกประเทศก็แล้วแต่ ต่างไปจาก “ม็อบตีหม้อ”บ้านเรา ที่ยิ่งนานวัน...ยิ่งออกอาการแห้งโหยโรยรา ไปตามสภาพ ด้วยสาเหตุ หรือด้วยเงื่อนไข-เหตุปัจจัยใดๆ ก็แล้วแต่ ก็ลองไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน...
คือสำหรับ “ม็อบเคาะหม้อ”ของพม่านั้น...นับวันบรรดาปวงชน ประชาชนชาวพม่า ไม่ว่าอาชีพไหน สาขาไหน ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ต่างได้ทยอยเข้าร่วม หรือได้แสดงออกถึงปฏิกิริยาในการปฏิเสธ ต่อต้าน และคัดค้าน “เผด็จการทหารพม่า”อย่างใหญ่โต กว้างขวางยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งแพทย์ พยาบาล ครู พระ วิศวกร คนงาน พนักงานธนาคาร ไปจนถึงบรรดาข้าราชการในบางกระทรวง ทบวง กรม ฯลฯ ก็เอากะเค้าด้วย เพราะอย่างน้อย คะแนนเสียงเลือกตั้งระดับสามารถคว้าเก้าอี้ ส.ส.ทั่วประเทศได้เกือบเกลี้ยงทั้งประเทศ หรือเกือบ 400 เก้าอี้ ย่อมเป็นตัวสะท้อนว่าการลุกฮือเหล่านี้ ยากที่จะเหี่ยวปลายเอาง่ายๆ แถมล่าสุด...เห็นว่าสื่อมวลชนพม่าแต่ละสำนักไม่ต่ำกว่า 40 สำนัก ถึงขั้นกล้าออกมาท้าทาย คำสั่งห้ามพูด ห้ามเรียก รัฐบาลปัจจุบันของพม่า ว่า “รัฐบาลเผด็จการ” โดยเด็ดขาด มีทั้งสื่อของชนชาติพม่าเอง ไปจนถึงสื่อของชนชาติส่วนน้อย อีกไม่น้อยกว่า 10 ราย...
ภายใต้การแสดงออกถึงปฏิกิริยาปฏิเสธ ต่อต้าน และคัดค้าน อย่างเป็นระบบและเป็นกิจการเช่นนี้ เลยทำให้การใช้ “กรรมวิธี” แบบหยาบๆ ง่ายๆ ไม่ว่าการจับกุม คุมขัง เข่นฆ่า และปราบปราม ฯลฯ จึงไม่น่าจะ “เวิร์ก”แต่อย่างใด แม้แต่ความพยายามที่จะอาศัย “ม็อบชนม็อบ” ตามแบบฉบับรัฐบาลประเภท “โหด-เลว-ทราม” ทั้งหลายก็เถอะ!!! กลับยิ่งทำให้สถานการณ์ความรุนแรง มีแต่จะลุกลามบานปลาย ยิ่งขึ้นไปใหญ่ จนโอกาสที่จะควบคุมดูแลให้เกิด “ความสงบเรียบโร้ยย์ย์ย์” ภายในบ้านเมืองตัวเอง ยิ่ง “เป็ง-ปาย-ม่าย-ล่าย”ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น...
เอาง่ายๆ แค่ว่า...ทุกวันนี้ ความระส่ำระสายอันเนื่องมาจาก “การเมืองภายใน” ของพม่าเอง ถึงกับทำให้ธนาคารอันดับ 6 อย่าง “ธนาคารเมียวดี” จำต้องออกประกาศจำกัดการ “ถอนเงิน”จากธนาคาร ให้เหลือเพียงแค่วันละไม่เกิน 500,000 จ๊าด หรือ 370 ดอลลาร์ในแต่ละรายแต่เพียงเท่านั้น แถมว่ากันว่า...ช่วงปลายเดือนนี้ การจ่ายเงินเดือนพนักงาน ข้าราชการ ก็เริ่มติดๆ ขัดๆ ขึ้นมามั่งแล้ว ตู้เอทีเอ็มที่สามารถกดเงิน ถอนเงินได้อย่างปลอดโปร่ง โล่งสบาย ก็ชักเริ่มตะกุกตะกัก ตะขิดตะขัดหยดหยอดเป็นยอดย้อยไปเป็นตู้ๆ รายๆ ตัวเลขประมาณการทางเศรษฐกิจหรือ “GDP”ของทั้งประเทศ ที่เคยหวังๆ เอาไว้ว่า อาจพอลืมหน้า-อ้าปากขึ้นมาได้มั่งภายในปีนี้ หรืออาจโตได้ถึง 5.6 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดยังคงหนักหน่วงรุนแรง แต่เมื่อดันต้องเจอ “เชื้อไวรัสทางการเมือง” อันเนื่องมาจากการปฏิวัติรัฐประหารของทหารพม่าเอง สถาบันจัดอันดับความเชื่อถืออย่าง “Fitch” เลยหนีไม่พ้นต้องปรับระดับการเติบโต “GDP” ของพม่าปีนี้ เหลือเพียงแค่ 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง...
ความสั่นไหว แอ่นระแน้ของสถานการณ์การเมืองภายในพม่าเอง โดยไม่ต้องไปพูดถึง “การแทรกแซง”จากภายนอกเอาเลยก็ยังได้ จึงทำให้สถานภาพของรัฐบาลเผด็จการพม่า ไปจนถึงบรรดาผู้นำทหารทั้งหลาย น่าจะอยู่ในสภาพต้องหายใจทางปาก หรือทางเหงือกหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หรือด้วยเหตุเพราะ “ปัจจัยภายใน” ของพม่าเองนั่นแหละ ที่ทำให้ “ปัจจัยภายนอก”ยิ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทิศทางความเป็นไปในอนาคตของประเทศพม่ายิ่งกว่าเมื่อครั้งอดีตหลายต่อหลายเท่า ไม่เพียงแต่ผู้นำทางทหาร หรือผู้นำรัฐประหาร อย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” ไม่น่าจะเหี้ยมพอ หรือเหี้ยมเท่ากับอดีตผู้นำทหาร ผู้นำรัฐประหารรุ่นเก่าๆ ประเภทนายพล “เนวิน” หรือ “ตานฉ่วย”ก็แล้วแต่ แต่การเข้าไปเกี่ยวข้องพัวพันกับธุรกรรมธุรกิจ ทั้งของผู้นำทหารและกองทัพพม่าทั้งกะบิ ไม่ว่าบก-เรือ-อากาศ มาตลอดช่วงระยะเวลาของความเป็นประชาธิปไตยในพม่า จึงยิ่งทำให้แรงกดดันจาก “ปัจจัยภายนอก” ยิ่งมีบทบาทและอิทธิพลสูงกว่าเมื่อครั้งอดีต อย่างมิอาจปฏิเสธได้...
เฉพาะแค่บริษัท หรือวิสาหกิจทหารอย่างบริษัท “Myanmar Economic Holdings Ltd.”หรือ “MEHL” เพียงแค่บริษัทเดียว ที่สยายหนวดปลาหมึกเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจนานาชนิดตั้งแต่หยก อัญมณี ยาสูบ เบียร์ ไปจนถึงซิมการ์ด ฯลฯ ว่ากันว่า...สามารถทำให้เกิด “ส่วนแบ่งรายได้” ที่จะนำเอามาแจกจ่ายเป็นสวัสดิการทหาร ทหารผ่านศึก หรือเข้ากระเป๋าผู้นำทางทหารในแต่ละราย ปีที่แล้ว...ปาเข้าไปถึง 18,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย ดังนั้นการกดดันรัฐบาลเผด็จการหรือรัฐบาลทหารพม่า ด้วยการอาศัย “ปัจจัยภายนอก”จึงยิ่งมีความหนักหน่วงรุนแรงไม่น้อยไปกว่า “ปัจจัยภายใน”อันเนื่องมาจากการลุกฮือ ต่อต้านของบรรดาปวงชนชนชาวพม่า อย่างเท่าที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้...
และคงต้องยอมรับว่า...ตลอดช่วงระยะเวลาของการบริหารจัดการ โดยรัฐบาลพลเรือนของ “นางอองซาน ซูจี” นั้น ไม่ได้ก่อให้เกิด “ปัญหา” ใดๆ กับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ไม่ว่า “จีน” หรือ “อินตะระเดีย”ก็แล้วแต่ จึงแทบไม่มีความจำเป็นเอาเลยก็ว่าได้ ที่ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน จะต้องโดดเข้าไปอุ้มชู ดูแล “เผด็จการพม่า” เหมือนแต่ก่อน ถ้าใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียนของผู้อำนวยการสถาบันออสเตรเลียศึกษา แห่งมหาวิทยาลัย “East China Normal University”อย่าง “ศาสตราจารย์Chen Hong” ในสื่อทางการของจีนอย่าง “Global Times” เมื่อไม่กี่วันมานี้ คงพอได้รับรู้ รับทราบว่าฝ่ายจีนนั้นออกจะ “ฉุน” เอามากๆ ที่ถูกกล่าวหาโดยสถาบันบางแห่งในออสเตรเลีย หรือ “The Australian Strategic Policy Institute” (ASIP) ซึ่งได้รับเงินสนับสนุนจากคุณพ่ออเมริกาโดยตรง ว่า “แอบช่วย”หรือแอบขนทหาร ขนอาวุธ และขนผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ฯลฯ ไปช่วย “เผด็จการทหารพม่า” ถึงขั้นต้องตั้งชื่อข้อเขียน บทความ ไว้ว่า “Malign ASIP report underestimate strong China-Myanmar ties”หรือถือเป็นการใส่ร้าย ป้ายสี เอาเลยถึงขั้นนั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...จีนเองก็ “ไม่สบายใจนัก”ต่อสิ่งที่กำลังเกิดๆ ขึ้นในพม่า อย่างที่ท่านทูตจีนประจำประเทศไทยได้ให้สัมภาษณ์คุณน้า “สุทธิชัย หยุ่น”ไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่ก็นั่นแหละ...ยิ่งถ้า “รัฐบาลเผด็จการ”ไม่สามารถควบคุม ดูแล ไม่อาจรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศตัวเองได้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น โอกาสที่แรงกดดันจาก “ปัจจัยภายนอก”ด้านอื่นๆ ไม่ว่าจากฝ่ายอเมริกาและประเทศตะวันตก หรือแม้แต่ “เอกชน”ในญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ที่ประกาศเลิกทำมาค้าขายกับบริษัทธุรกิจทหารในพม่า ไม่ว่ายาสูบ หรือเบียร์ ฯลฯ ไปก่อนหน้านี้ ย่อมกลายเป็นตัวส่งผลให้เผด็จการพม่า อยู่ยากส์ส์ส์ หรืออาจอยู่ไม่ได้ยิ่งเข้าไปทุกที ยิ่งแม้แต่บรรดาประเทศในอาเซียน ไม่ว่าอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และอาจรวมไปถึงฟิลิปปินส์ ยิ่งทำท่าชักไม่ค่อยสบายใจยิ่งขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่ผู้นำรัฐประหารอย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย”จะลายพร้อยไปทั้งเนื้อ ทั้งตัว หล่ายไม่ออก ไหลไม่ออก ยิ่งมีความเป็นไปได้สูงขึ้นไปเท่านั้น แม้ว่าหนึ่งในประเทศอาเซียน อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา จะยังพยายาม “อมเชาวริน” (สากกะเบือ) ต่อไปเรื่อยๆ ตามแบบฉบับ “เบบี้ทางการเมือง” ที่ตามใครต่อใครเขาไม่ทันมาโดยตลอด นั่นแล...