xs
xsm
sm
md
lg

จากเชื้อกลายพันธุ์อังกฤษถึงออสเตรเลียนโอเพ่น

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ภาพจาก https://www.melbourne.intercontinental.com/australian-open-tennis-2017/
เปิดฉากสัปดาห์นี้...เริ่มด้วยเรื่องเบาๆ ที่อาจสอดคล้องต้องกันกับ “ความเมามันซ์ซ์ซ์” ของบรรดาคอกีฬา หรือคอเทนนิสทั้งหลายน่าจะเหมาะกว่า คือเริ่มด้วยเรื่องรายการเทนนิสระดับ “แกรนด์สแลม”รายการแรกของปี หรือรายการ “Australian Open”นั่นแหละทั่น!!! ที่ขณะกำลังโอเพ่นไป-โอเพ่นมา ดันต้องเจอกับ “Victoria Close” หรือเจอกับการสั่งปิด สั่งล็อกดาวน์ รัฐวิคตอเรียทั้งรัฐ ส่งผลให้รายการเทนนิสแกรนด์สแลมที่กำลังหวด กำลังบดขยี้กันอย่างเมามันซ์ซ์ซ์ ในเมืองเมลเบิร์น เมืองหลวงของรัฐวิคตอเรีย เลยเป็นอันต้อง “แบบบ์บ์บ์แห้งง์ง์ง์” กร่อยแสนกร่อยอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้เลย...

คือคงต้องยอมรับเอาจริงๆ นั่นแหละว่า...ความพยายามดิ้นรน ทุรนทุราย เพื่อจัดแข่งขันรายการเทนนิสรายการนี้ขึ้นมาให้จงได้ของบรรดาชาวออสเตรเลียนทั้งหลายนั้น ออกจะผิดแผกแตกต่างไปจากการจัดมหกรรมแบดมินตันระดับโลก 3 รายการ ของพี่ไทยบ้านเรามิใช่น้อย ขณะที่ของเรานั้น...เป็นไปด้วยความพับเพียบเรียบร้อย สงบเสงี่ยม สุภาพและอ่อนโยน อาศัยมาตรการ “คุมเข้ม”ในทุกเรื่อง ทุกกรณี ไม่ว่าการกักตัวนักกีฬาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า การสวมหน้ากากอนามัยชนิดไม่ว่าใครที่ต้องลงไปเกะๆ กะๆ ในสนาม ต้องครอบจมูก ครอบปากไปด้วยกันทั้งสิ้น แม้แต่การแจกรางวง รางวัล โดยเฉพาะที่สำคัญเอามากๆ คือไม่เปิดโอกาสให้ผู้ดู-ผู้ชม เข้าไปนุงนังนัวเนียอยู่ในสนามแข่งขันโดยเด็ดขาด...

ขณะที่ออสเตรเลียน โอเพ่นนั้น...ช่วงการชิงแพ้-ชิงชนะ ระหว่างนักเทนนิสเจ้าภาพ “นิค คีร์กอส” (Nick Kyrgios) กับนักเทนนิสมือวางอันดับต้นๆ อย่าง “โดมินิค ธีม” (Dominic Thiem) ใครที่มีโอกาสได้รับชมรายการถ่ายทอดสดคราวนี้ คงหนีไม่พ้นต้องอดห่วง อดกังวลต่อบรรดาชาวออสเตรเลียนทั้งหลายขึ้นมามิได้ คือมันแห่เข้าไปในสนามแบบชนิดแออัดยัดเยียด นุงนังนัวเนียกันในชนิดแทบไม่ได้กลัว ไม่ได้สนใจอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” เอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังโห่ ยังฮา ยังกรี๊ดๆ กร๊าดๆ ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ โดยไม่คิดจะสวมหน้ากากอนามัยไว้เลย โดยเฉพาะในช่วงที่นักเทนนิสเจ้าถิ่นนำคู่แข่งไปก่อนถึง 2 เซ็ตด้วยกัน การพ่นละอองเรณูออกมาเป็นสายๆ คละคลุ้งไปทั่วทั้งสนาม ทำให้โอกาสที่อาจต้อง “ติดเชื้อ”งอมๆ แงมๆ กันไปทั่วทั้งประเทศ มีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...

และอาจด้วยเหตุทำนองนี้นี่เอง...จึงทำให้หลังจากข่าวคราวการแพร่ระบาดระดับ “ซูเปอร์สเปรด” ที่สนามบินเมืองเมลเบิร์นในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ล่วงรู้ไปถึงนายกรัฐมนตรีแห่งรัฐวิคตอเรีย “นายDaniel Andrews” การออกคำสั่ง “ล็อกดาวน์”รัฐวิคตอเรียทั้งรัฐ ภายในช่วง 5 วัน เริ่มตั้งแต่เวลาเที่ยงคืน (11.59 น.) ของวันศุกร์ที่ 12 ก.พ. ยาวว์ว์ว์ไปถึงวันพุธที่ 17 ก.พ.จึงอุบัติขึ้นมานับแต่บัดนั้น ห้ามไม่ให้ใครต่อใครออกนอกบ้านโดยไม่สวมหน้ากาก ห้ามนุงนังนัวเนียไม่ว่าในสนามหรือนอกสนามเกินไปกว่า 10 คนขึ้นไป บรรดาอาคาร ร้านค้า ภัตตาคารถูกปิด หรือปิดตัวเอง จนแทบกลายเป็น “เมืองร้าง” ไปอีกครั้ง หรือเป็นรอบที่ 3 ด้วยเหตุนี้...ภายในสนามเทนนิสรายการแกรนด์สแลมรายการแรกของโลก อย่าง “Australian Open”ก็แทบไม่ต้องพูดถึง ระหว่างที่คู่มือวางอันดับ 1 อย่าง “โนวัค ยอโควิช”กำลังอาจพลาดท่า เสียที ให้กับนักเทนนิสดาวรุ่งจากสหรัฐฯ หรือไม่ อย่างไร แต่บรรดาผู้ดู-ผู้ชม หนีไม่พ้นต้องทยอยออกจากสนามไปทีละกลุ่ม ทีละราย เพราะใกล้ถึงกำหนด “ล็อกดาวน์” อีกแค่ไม่กี่นาที ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่าง กลายสภาพไปสู่ความ “วังเอ๋ยวังเวง...หง่างเหง่ง ย่ำค่ำระฆังขาน” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้...

แต่อันที่จริง...ก็มีชาวออสเตรเลียนจำนวนไม่น้อยอยู่เหมือนกัน ที่คิดจะปฏิเสธถึงขั้นพยายามรวมกลุ่ม รวมตัว กันที่ศูนย์ธุรกิจกลางใจเมือง ก่อนเดินขบวนประท้วงไปยังสวนสาธารณะเมลเบิร์น พร้อมกับชูป้าย ชูคำขวัญต่างๆ นานา ไม่ว่า “วิคตอเรียไม่เอาด้วย”หรือ “หน้ากากอนามัยคือที่ครอบปากสุนัข” หรือ “ออสเตรเลียนเปิด (Open) แต่วิคตอเรียปิด (Close)” ฯลฯ อะไรประมาณนั้น แต่ก็ยังดี...ที่ไม่ถึงกับพ่นสีให้ “ควาย”ใครต่อใคร หรือถึงขั้นเหยียดเชื้อ เหยียดชาติ เหมือนบ้านเรา อีกทั้งความพยายามก่อการประท้วงเหล่านี้ ก็อาจไม่ถึงกับมี “น้ำหนัก”มากมายสักเท่าไหร่ เนื่องจากความระแวด ระวังของนายกรัฐมนตรีรัฐวิคตอเรียออกจะเป็นอะไรที่สมเหตุ สมผล ซะมากกว่า โดยเฉพาะเมื่อมีข้อบ่งชี้ว่า เชื้อโควิดที่แพร่ระบาดอยู่ในสนามบินเมืองเมลเบิร์นนั้น คือเชื้อที่แพร่มาจากประเทศอังกฤษ อันเป็นเชื้อที่น่าเกลียด น่ากลัว และน่าอันตรายกว่าเชื้อเดิมๆ ถึง 70 เปอร์เซ็นต์!!!

อันนี้...ก็มาจากผู้เชี่ยวชาญชาวอังกฤษเองนั่นแหละ คือ “นางชารอน พีค็อก” (Sharon Peacock) นักจุลชีวันวิทยาชาวอังกฤษและผู้อำนวยการวิจัยพันธุกรรมเชื้อ “COVID-19”ที่ได้ออกมาบอกเล่า เก้าสิบ เอาไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่า ได้เกิดการ “กลายพันธุ์” ของเชื้อเดิมๆ โดยพบครั้งแรกที่เมืองเคนต์ ในประเทศอังกฤษเมื่อช่วงเดือนกันยายนปีที่แล้ว อันเป็นเชื้อที่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายกว่าเชื้อเดิมถึง 70 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ คาดว่าได้แพร่กระจายไปยังประเทศต่างๆ ไปแล้ว ไม่น้อยกว่า 86 ประเทศ หรือ “ขณะนี้ได้ครอบงำไปทั่วทั้งประเทศอังกฤษ และเป็นไปได้ว่ากำลังครองโลกทั้งโลก” นี่...น่าเกลียด น่ากลัวไปได้ถึงปานนั้น แถมยังเป็นเชื้อที่ “อันตราย” ยิ่งขึ้น ชนิดนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นายบอริส จอห์สัน” ยังต้องออกมายอมรับว่าความอันตรายกว่าเชื้อเดิมมีมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างน้อย...

ด้วยเหตุนี้...ประเทศผู้ช่วยนายอำเภอ หรือประเทศอดีตเครือจักรภพอังกฤษอย่างออสเตรเลีย ย่อมหนีไม่พ้นต้องขนหัวลุก ขนคอตั้ง เป็นธรรมดา แม้กำลังเมามันซ์ซ์ซ์อยู่กับรายเทนนิสแกรนด์สแลมรายการแรกของปี...ก็เถอะ การตัดสินใจสั่ง “ล็อกดาวน์” รัฐวิคตอเรียทั้งรัฐภายใน 5 วันนั้น อันที่จริงต้องถือว่า “เบา” แบบสุดๆ เอาเลยก็ว่าได้ เพราะถ้าหากเป็นที่อังกฤษแล้ว...อย่างที่ที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ของรัฐบาล ท่านเซอร์ “เอียน บอยด์” (Ian Boyd) แห่งหน่วยงาน “SAGE” (Scientific Advisory Group for Emergencies) ถึงกับต้องออกมาบอกกล่าวเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่า “การล็อกดาวน์อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวอังกฤษไปอีกหลายต่อหลายปี” เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างไปจากผู้อำนวยการด้านยุทธศาสตร์การป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อ “COVID-19” ที่ได้กลายพันธุ์ไปแล้ว อย่าง “ดร.ซูซาน ฮอปกินส์”(Susan Hopkins) ที่ให้สัมภาษณ์ “Sky News” ไปเมื่อช่วงวันศุกร์ (12 ก.พ.) ที่ผ่านมา ว่าการออกมาตรการควบคุมในอังกฤษนั้น อาจยืดเยื้อยาวนานไปจนกว่าบรรดาพวกผู้ใหญ่ในประเทศอังกฤษทั้งหมด จะได้รับการฉีดวัคซีนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หรือปาเข้าไปเป็นปีๆ เอาเลยโน่นแหละ...

และภายใต้มาตรการควบคุม แบบเข้มงวด เข้มข้นเช่นนี้...ย่อมหนีไม่พ้นที่ต้องทำให้ประเทศ “อดีตจักรวรรดินิยม”ซึ่งเคยได้ชื่อว่าดินแดนที่ “พระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน”อย่างอังกฤษ มีแต่จะยิ่งเสื่อมโทรม เสื่อมทรุด ลงไปอีก หลังจากเสื่อมจนแทบไม่รู้จะเสื่อมไปแล้วถึงขั้นไหน ความจำเป็นที่ต้องช่วยเหลือ เยียวยา ธุรกิจรายเล็ก รายน้อย รายย่อย ด้วยการบีบบังคับให้ธนาคารในอังกฤษปล่อยเงินกู้ประมาณ 45,000 ล้านปอนด์ (62,000 ล้านดอลลาร์) ให้กับธุรกิจเหล่านี้ ที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ หาว่าเป็น “Zombie Companies” อะไรทำนองนั้น เริ่มทำให้ธนาคารอังกฤษ หรือ “Bank of England” เริ่มออกมาโวยวายกันมั่งแล้ว ว่าสุดท้าย...อาจส่งผลให้ประเทศอังกฤษทั้งประเทศ กลายเป็น “Zombie Nation”เอาง่ายๆ!!!

และก็ใช่ว่าจะเป็นแค่การกระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปตามเรื่อง ตามราว เพราะก่อนหน้านั้นไม่นาน หรือเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง ที่อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ “นายกอร์ดอน บราวน์”(Gordon Brown) ถึงกับต้องลงทุนส่งข้อเขียน บทความ ไปลงในหนังสือพิมพ์ “The Daily Telegraph” เพื่อ “เตือน”รัฐบาลอังกฤษปัจจุบันอย่างเป็นงาน เป็นการ ว่าด้วยเหตุเพราะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส “COVID-19”ประการหนึ่ง ภัยคุกคามจากพวกชาตินิยมไม่ว่าในสกอตแลนด์ หรือไอแลนด์เหนือ ที่เริ่มเรียกร้องขอทำประชามติแยกตัวเองออกจากอังกฤษเป็นประการที่สอง ไปจนถึงความไม่แน่นอนของคำมั่นสัญญาในเรื่อง “Brexit”เป็นประการที่สาม อาจส่งผลให้ประเทศอดีตจักรวรรดินิยมที่ได้ชื่อว่าพระอาทิตย์ไม่เคยตกดิน ต้องกลายสภาพไปเป็น “รัฐล้มเหลว” หรือ “Failed State”เอาเลยก็ไม่แน่!!!




กำลังโหลดความคิดเห็น