วันนี้...คงต้องหันไปว่ากันเรื่อง “เบาๆ” อยู่สักหน่อย เพราะเพิ่งผ่านการออกเรี่ยว ออกแรง และเสียเรี่ยว เสียแรง ไปกับการ “ลุ้น” คุณน้อง “บาส” น้อง “ปอป้อ” 2 นักแบดมินตันไทย ที่สามารถคว้าแชมป์ 3 รายการซ้อนๆ รวมทั้งแบดมินตันรายการสุดท้าย “HSBC World Tour Finals” ที่เพิ่งปิดฉากไปเมื่อช่วงคืนวันอาทิตย์ (31 ม.ค.) ที่ผ่านมา...
คือนอกจากความปลาบปลื้ม ดีใจต่อชัยชนะของนักแบดมินตันคู่ผสมของไทยรายนี้แล้ว ยังหนีไม่พ้นต้องแสดงออกถึงความทึ่ง ความประทับใจ ต่อสมาคมแบดมินตันประเทศไทย รัฐบาล รวมทั้งบรรดาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ที่ทั้งกล้าหาญชาญชัย และทั้งแสดงออกถึงขีดความสามารถในการรับอาสาเป็น “เจ้าภาพ” การแข่งขันแบดมินตันระดับโลกถึง 3 รายการซ้อนๆ ด้วยกันไล่มาตั้งแต่ “Yonex Thailand Open” ตั้งแต่วันที่ 12 มกราฯ ตามด้วยรายการ “Toyota Thailand Open” จนมาจบที่รายการ “HSBC World Tour Finals” เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้อย่างเรียบโร้ยย์ย์ย์ ราบรื่น และลื่นไหล เอามากๆ แม้บรรยากาศแห่งการแพร่ระบาดของท่านเชื้อ “COVID-19” จะยังคงมาแรง แซงโค้ง ไปทั่วทั้งโลก กันในระดับไหนก็ตาม...
คือถึงแม้ต้องจัดแบบ “ไม่มีคนดู” ก็เถอะ...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็ทั้งมันซ์ซ์ซ์และทั้งสมศักดิ์ศรีเอามากๆ ชนิดอาจถือเป็นแบบอย่าง ตัวอย่าง ให้กับบรรดาการจัดแข่งขันมหกรรมกีฬาระดับโลกทั้งหลาย ที่ต่างก็ต้องซบเซา ซึมเซา เพราะท่านเชื้อ “COVID-19” กันไปเป็นแถบๆ แม้แต่มหกรรม “เทนนิส” ระดับ “แกรนด์สแลม” ที่กำลังตามมาติดๆ คือ “Australian Open” ที่จะเริ่มต้นเปิดฉาก เปิดผ้าม่านกั้งในสัปดาห์หน้า หรือตั้งแต่วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป เห็นว่า...ออกจะชุลมุน ชุลเก อยู่พอสมควรเหมือนกัน เพราะการตระเตรียมรับมือกับนักกีฬาดังๆ จำนวนถึง 70 กว่ารายเป็นอย่างน้อย ตลอดไปจนถึงโค้ช ถึงสตาฟฟ์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในการลงหวดลูกสักกะหลาดคราวนี้ ที่น่าจะมีจำนวนปริมาณไม่ต่ำกว่า 1,7000 คนขึ้นไป เล่นเอา “เจ้าภาพ” อย่างบรรดาชาวออสซีทั้งหลาย แทบต้องคว้ายา “บวดหาย” มารับประทานแก้ “บวดหัว” กันเป็นซองๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
เพราะไม่ว่าจะเป็นนักเทนนิสดังๆ รายใดก็ตาม จะเป็น “นาดาล” “โนเล” “เซเรนา” “ฮาเล็ป” ฯลฯ มือวาง-ไม่มือวาง ต่างหนีไม่พ้นต้องถูกกัก ถูกกันเอาไว้ประมาณ 14 วันเป็นอย่างน้อย ต้องเดินทางไปเตรียมเนื้อ เตรียมตัว ตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา ถูกจับยัดไว้ในโรงแรมต่างๆ เพื่อรอดูอาการก่อนอนุญาตให้ลงสนาม ระหว่างนั้นได้แต่ซ้อม ได้แต่วอร์ม อยู่ภายในห้องพักของตัวเองวันละแค่ 5 ชั่วโมงเท่านั้นเอง ยิ่งเมื่อพบว่าบรรดานักเทนนิสบางรายเกิดติดเชื้อ มีเชื้อ อยู่บ้าง ยิ่งต้องเพิ่มมาตรการกักตัว ควบคุมตัว ชนิดเข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ระดับที่นักเทนนิสมือวางอันดับ 13 ของโลก อย่าง “โรแบร์โต เบาติสตา อากุต” แห่งประเทศสเปน ถึงกับต้องโหยหวน ครวญคราง ว่าแทบไม่ต่างอะไรจากการ “ติดคุก-ติดตะราง” เราดีๆ นี่เอง หรือถึงขั้น “โนวัค ยอโควิช” มือวางอันดับ 1 ชาวเซอร์เบีย อดไม่ได้ต้องเพ้อหา รำพันหา สถานที่กักตัวที่น่าจะสะดวกสบายกว่านี้ขึ้นมาอีกสักหน่อย ประเภทบ้านพัก เรือนพัก ที่พอมีต้นหมาก รากไม้ มีสนามซ้อม ให้ไม่ถึงกับเหมือนคุก เหมือนตะราง อะไรทำนองนั้น...
และอาจด้วยสีสันบรรยากาศ ในทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ เกรียงไกร ยิ่งไปกว่านั้นอีกไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า หรือมีกีฬาไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยประเภท ที่ต้องมาแข่งขัน ชิงชัย ซึ่งกันและกัน อย่างมหกรรมกีฬา “โอลิมปิก” หรือ “Tokyo Olympic” ที่ประเทศคุณพี่ยุ่นปี่รับอาสาเป็น “เจ้าภาพ” และต้องเลื่อนกำหนดการจากที่เคยคิดจะจัดในเดือนมีนาคมปีที่แล้ว หรือปี ค.ศ. 2020 โดยยังคงพยายามดิ้นรนทุรนทุราย หวังจะจัดขึ้นให้จงได้ ภายในวันที่ 23 กรกฎาคม-8 สิงหาคมปีนี้ ไปๆ-มาๆ แล้ว...อาจต้องชักสะพานแหงนถ่อรอคอยไปอีกเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ก็มิอาจทราบได้ ด้วยเหตุเพราะประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ หนีไม่พ้นต้องเจอกับ “การระบาดระลอก 2” ของท่านเชื้อไวรัส “COVID-19” ชนิดแทบไปไม่เป็น หรือทางออก ทางไป ยังไม่เจอ เพราะด้วยจำนวน “ผู้ติดเชื้อ” ที่เพิ่มขึ้นๆ ไม่ต่ำไปกว่า 384,000 คน เด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึง ไปแล้วถึง 5,500 คน ส่งผลให้ต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในกรุงโตเกียว และเมืองสำคัญๆ อีก 3 จังหวัดเป็นอย่างน้อย...
ภายใต้บรรยากาศทำนองนี้นี่เอง...ที่ทำให้ 2 นักข่าว “Al Jazeera” อย่าง “Kiyomi Obo” และ “Faras Ghani” เขาเลยต้องลงทุนไปทำข่าว ทำสกู๊ป เรื่อง “Tokyo Olympic Games will not happen without spectators” มาเผยแพร่ไว้ในเว็บไซต์สำนักข่าวแห่งนี้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา โดยให้ข้อสรุปเอาไว้ว่า...น่าจะ “ไม่มีข้อสรุป” หรือน่าจะยังไม่รู้หมู่ รู้จ่า รู้สารวัตรใดๆ เอาเลยก็ว่าได้ ว่ามหกรรมโอลิมปิกโตเกียวปีนี้ จะสามารถอุบัติขึ้นมาตามกำหนดการได้หรือไม่ เพียงใด โดยเฉพาะถ้าหากต้องเป็น “โอลิมปิกที่ไม่มีคนดู” หรือที่ไม่อาจอนุมัติ อนุญาต ให้บรรดาชาวโลกซึ่งแทบไม่รู้ว่าจะติดเชื้อ-ไม่ติดเชื้อ มาจากที่ไหน หรือไม่ อย่างไร เดินเข้า-เดินออกอยู่ภายในกรุงโตเกียว เกียวโต ได้โดยอิสระและเสรี...
เพราะโดยรูปแบบและแนวทางที่คณะกรรมการจัดกีฬาโอลิมปิกประเทศญี่ปุ่น เขาตระเตรียมเอาไว้ตั้งแต่เบื้องต้น ก็คือความปรารถนาและต้องการที่จะให้มี “คนดู” ให้เยอะๆ เข้าไว้นั่นแหละเป็นหลัก หรือ “เราไม่ปรารถนาที่จะเป็นโอลิมปิกที่ไม่มีคนดู” อะไรทำนองนั้น ถึงทำให้ต้องลงทุนอะไรต่อมิอะไรเอาไว้เยอะ แต่ครั้นเมื่อต้องเจอกับการระบาดระลอก 2 เข้าไปแบบจังๆ จะจะ อย่างที่ประธาน “Japan Medical Association” “นายToshio Nakagawa” ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวเอาไว้นั่นแหละว่า... “เป็นไปไม่ได้เลย...ที่จะอนุญาตให้คนดู หรือชาวต่างชาติเข้ามาในญี่ปุ่นกันเยอะในช่วงนี้” แต่ครั้น...ถ้าต้องจัดโอลิมปิกแบบไม่มีคนดูขึ้นมาจริงๆ ว่ากันว่า...โอกาสที่คณะกรรมการจัดโอลิมปิกญี่ปุ่น จะต้อง “กระเป๋าฉีก” กันไปตามๆ กัน หรือต้อง “ขาดทุน” ไม่ต่ำกว่า 381.3 พันล้านเยน หรือ 3,640 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย นั่นยังไม่รวมไปถึงกิจการร้านค้า โรงแรม ภัตตาคาร ฯลฯ หรืออะไรอื่นๆ ที่เตรียมรับผลพลอยได้ จากมหกรรมกีฬาคราวนี้ ที่หนีไม่พ้นต้อง “กระเป๋าแบนแฟนทิ้ง” ไปแล้วเป็นรายๆ...
แต่การที่ระบบสาธารณสุข โรงพยาบาล เตียงพยาบาล ฯลฯ ของประเทศญี่ปุ่นทั้งประเทศ ยังไงๆ ก็คงไม่เอื้ออำนวยต่อการที่ผู้คนทั่วทั้งโลกจะแห่เข้ามาในประเทศญี่ปุ่นในช่วงกีฬาโอลิมปิก หรือถึงแม้มีความพยายามรณรงค์ “ฉีดวัคซีน” อย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ก็คงเริ่มได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป หรือเพียงแค่ 2 เดือนก่อนหน้าที่จะเกิดการแข่งขัน ชิงชัย ขณะที่กระบวนการสร้างภูมิคุ้มกันโดยวัคซีนแต่ละชนิด ต้องใช้เวลานับเป็นปีๆ ดังนั้น...โอกาสที่จะจัดโอลิมปิกแบบมีคนดู จึงแทบเป็นไปไม่ได้เอาเลย ไม่ว่าจะพยายามฮึด จะพยายามทำงานหนักกันขนาดไหน...
และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผลสำรวจ วิจัย ความคิดเห็นของชาวญี่ปุ่นทั่วประเทศ โดยสำนักข่าวเกียวโด เมื่อไม่นานที่ผ่านมา จึงได้ข้อสรุปออกมาว่า บรรดาคุณพี่ยุ่นจำนวนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เห็นว่าญี่ปุ่นไม่ควรคิดจะเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกคราวนี้อีกต่อไป 35.3 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าให้เลิกๆ ไปเลย ส่วนอีก 44.8 เปอร์เซ็นต์เห็นว่าควรเลื่อน หรือยืดเวลาออกไปในช่วงที่เหมาะๆ หรือสรุปรวมความแล้ว...ก็คือยังไม่มีข้อสรุปนั่นแหละ ตกลงจะจัด-ไม่จัดในปีนี้ หรือจัดแบบมีคนดู-ไม่มีคนดู อันเป็นสิ่งที่น่าเสียดายเอามากๆ สำหรับบรรดา “คอกีฬา” ทั้งหลาย ที่อุตส่าห์เฝ้ารอคอยสุดยอดมหกรรมกีฬาทำนองนี้มาเป็นปีๆ แต่ทำไงได้ล่ะทั่น!!! ในเมื่อโลกยุคนี้ หรือยุคโควิด ย่อมไม่ใช่โลกที่เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะฉะนั้น...แค่ได้มีโอกาสนั่งลุ้น น้อง “บาส” น้อง “ปอป้อ” ในรายการแบดมินตันไทยแลนด์ โอเพน ทั้ง 3 รายการซ้อนๆ ก็ต้องถือเป็นพระคุณอย่างยิ่งอันหาที่สุดมิได้ ที่อย่างน้อยก็พอช่วยให้อะไรต่อมิอะไรมันไม่ออกไปทาง “แห้งแล้ง” จนเกินไป...