xs
xsm
sm
md
lg

นโยบายต่างประเทศของ “ผู้เฒ่าโจ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ
เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มด้วยการหันไปสำรวจตรวจสอบ ลองไปประเมินลักษณะท่าทีของผู้นำโลก ผู้นำอเมริการายใหม่อย่าง “ผู้เฒ่าโจ”ว่าจะหนักไปทาง “โจ เชื่องช้า” “โจ ซึมเซา”หรือ “โจ วิตถาร”ฯลฯ อย่างที่อเมริกันชนบางกลุ่ม บางราย เคยตั้งข้อกล่าวหาเอาไว้หรือไม่ อย่างไร เพราะเมื่อช่วงวันพฤหัสฯ สัปดาห์ที่แล้ว (4 ก.พ.) ประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ ท่านได้ออกมาพูดจาปราศรัย เปิดเผยถึงแนวนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลใหม่ อย่างค่อนข้างจะเป็นทางการ อันครอบคลุมไปถึงเรื่องจีน เรื่องรัสเซีย เรื่องอิหร่าน ตลอดไปจนถึงเรื่องการเคาะหม้อ เคาะกะลา ของบรรดาชาวพม่าที่ลุกขึ้นมาต้านรัฐประหารคราวนี้ ฯลฯ อย่างค่อนข้างสมบูรณ์ เบ็ดเสร็จ พอสมควร...

ซึ่งถ้าจะให้ “สรุป”แบบสั้นๆ ง่ายๆ แบบชาวบ้านๆ คงต้องสรุปว่า...ยังออกไปทาง “กั๊กๆ” นั่นแหละสหาย!!! คือยังไม่ถึงกับคิดจะพลิก “หลังตีน”ตามแนวนโยบายเดิมๆ ของ “ทรัมป์บ้า” ให้กลายมาเป็น “หน้ามือ”ที่ขาวสะอาด หมดจด สดใส แต่อย่างใด หลายต่อหลายเรื่องที่อาจคล้ายๆ เป็นคนละเรื่อง คนละม้วน กับประธานาธิบดีคนก่อน แต่ก็อีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่ยังคงก้าวตามเดินตาม ทิศทางและแนวทาง “บ้า...ก็...บ้าวะ” ของ “ทรัมป์บ้า”อย่างมิอาจผันแปรไปเป็นอื่น อย่างเช่นเรื่องที่อาจก่อให้เกิดความฮือฮา ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ ต่อบรรดาพวก “นักสิทธิมนุษยชน” ทั้งหลาย ด้วยการประกาศว่าอเมริกาพร้อมยุติการสนับสนุนต่อกองทัพซาอุดีอาระเบียและพันธมิตร ในสงครามเยเมน ที่ยืดเยื้อ คาราคาซังมาร่วม 6-7 ปีเข้าไปแล้ว อันเป็นอะไรที่ไม่เพียงแต่ช่วยให้เกิดสีสันแห่ง“สันติภาพ”ขึ้นมามั่งรางๆ ยังออกจะ “โดนใจ”ต่อผู้ที่เคยขนลุก ขนพอง ต่อความโหดเหี้ยม อำมหิต ผิดมนุษย์มนาของเจ้าชาย “MbS” มกุฎราชกุมารชาวซาอุฯ ผู้ที่เชื่อๆ ว่าเป็นผู้สั่งฆ่านักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ อย่าง “นายจามาล คาช็อกกี” และยังคงมุ่งมั่นที่จะพร่าผลาญ สังหาร บรรดาชาวเยเมน ไม่ว่าผู้บริสุทธิ์-ไม่บริสุทธิ์ ผู้รู้-ผู้ไม่รู้อีโหน่-อีเหน่ แบบถึงไหนก็ถึงกัน จนตราบเท่าทุกวันนี้...

แต่ก็นั่นแหละ...การเลิกสนับสนุน เลิกขายอาวุธให้กับกองทัพซาอุฯ ในกรณีนี้ ก็ยังหนีไม่พ้นต้องขมวดท้าย ขมวดปม เพิ่มเติมไว้อีกด้วยว่า ตราบใดที่พวก “กบฏฮูตี”ชาวเยเมน ที่ยังไม่รู้ว่าจะถูกขึ้นบัญชีก่อการร้ายกันในเมื่อไหร่ ตอนไหน พร้อมเอามือซุกหีบ ซุกมือ ซุกตีน ไม่คิดไปควักเอาจรวดอิหร่านออกมาโจมตีซาอุฯ กันอีกต่อไป การยุติสนับสนุนกองทัพซาอุฯ ในเรื่องนี้ ถึงจะเป็นไปได้แบบสมบูรณ์เบ็ดเสร็จ ดังที่สหรัฐฯ ได้ประกาศเอาไว้ ไม่งั้น...แม้อเมริกาไม่คิดจะลงมือ ลงตีน กับประเทศที่ได้ชื่อว่าจนที่สุดในโลกอย่างเยเมนก็ตาม แต่อาจหนีไม่พ้นต้องยืมมือ ยืมตีน กองทัพซาอุฯ อีกนั่นแหละ ในการดำเนินนโยบายในตะวันออกกลางอีกต่อไป แถมระหว่าง “กั๊กไป-กั๊กมา” ในลักษณะนี้ วุฒิสภาสหรัฐฯ ก็ได้ร่วมมือ-ร่วมใจ เทคะแนนสนับสนุนอย่างล้นหลาม ให้กับการจัดตั้ง การดำรงคงอยู่ของสถานทูตอเมริกาในกรุงเยรูซาเล็มต่อไป หรือเท่ากับถือเป็นการ “รับรอง” ว่านครหลวงแห่งนี้เป็นของอิสราเอลโดยเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตามแนวทาง แนวนโยบายของประธานาธิบดีคนก่อน หรือออกอาการ “บ้า...ก็...บ้าวะ” ตามแบบฉบับ “ทรัมป์บ้า” อยู่นั่นเอง มีอยู่แค่ 3 เสียงเท่านั้น คือ “นายTom Carper” “นายBernie Sanders” และ “นางElizabeth Warren”วุฒิสมาชิกเดโมแครตจากเดลาแวร์ เวอร์มอนท์ และแมสซาชูเซตส์ ที่ยังพอหลงเหลือ “สติ” อยู่มั่ง หรือยังคงคัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจทำนองนี้...

ส่วนในเรื่อง “จีน” ที่ถือเป็น “คู่แข่งที่สำคัญที่สุด” (Most serious competitor) ของสหรัฐฯ นั้น...แม้ว่าจะเปิดช่อง เปิดทาง เอาไว้สำหรับ “ความร่วมมือในบางระดับ”บางเรื่อง บางกรณี แต่โดยท่าทีรวมๆ ไม่ว่าของ “รัฐบาล” หรือ “กองทัพ”คงหนีไม่พ้นต้องออกอาวุธด้ามสั้น ด้ามยาวกันไปโดยตลอดนั่นแหละทั่น เพราะระหว่างที่ “ผู้เฒ่าโจ”ท่านกำลังพูดจาแจ๊วๆๆ เจ๊าะๆ แจ๊ะๆ อยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศนั้น เรือบรรทุกเครื่องบิน “USS John S. McCain” ของอเมริกา ก็ได้รับคำสั่งให้แล่นไป-แล่นมา เฉียดไป-เฉียดมาแถวๆ หมู่เกาะทะเลจีนใต้และช่องแคบไต้หวัน อันเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายจีนได้อ้างว่าอยู่ในอำนาจอธิปไตยของตัวเอง และถือว่าการแล่นไป-แล่นมา เฉียดไป-เฉียดมาในลักษณะเช่นนี้ เป็นการยั่วยุและปลุกกระตุ้น แบบประเภทดาวร้ายหนังไทยที่ชอบนั่งอยู่บนหัวสะพาน พร้อมกับครวญครางบทเพลงประเภท “อยากจะชิมส้นตีนนัก-อยากจะชิมส้นตีนนัก”อะไรประมาณนั้น...

แต่สำหรับกองทัพสหรัฐฯ แล้ว ไม่เพียงแต่พร้อมจะ “เข้าถึง”ไปยังน่านน้ำ น่านฟ้า ณ ที่ไหนๆ ก็ย่อมได้ ที่มีกฎหมายระหว่างประเทศให้การรับรองว่าเป็นน่านฟ้าเสรี หรือน่านน้ำเสรี การร่ายเรียงข้อเขียน บทความ ของนักการทหารอเมริกัน อย่าง “พลเรือเอกCharles A. Richard” ในวารสาร “US Naval Institute Journal” เมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็ออกจะให้ภาพที่น่าเกลียดและน่ากลัวเอามากๆ สำหรับความเคลื่อนไหวของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน หรือทำให้... “มีความเป็นไปได้แบบจริงๆ จังๆ ที่อาจเกิดวิกฤตขึ้นในภูมิภาคนี้ ระหว่างกองทัพสหรัฐฯ กับจีนและรัสเซีย อันอาจยกระดับไปสู่สงครามที่จำต้องอาศัยขีดความสามารถทางนิวเคลียร์อย่างมิอาจปฏิเสธได้”หรือ “แม้ว่าการใช้อาวุธนิวเคลียร์อาจมีความเป็นไปได้ต่ำลงไปเรื่อยๆ...แต่ยังคงเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้อยู่เช่นเดิมนั่นเอง...”นี่...ต้องเรียกว่าฟังแล้ว ออกจะขนหัวลุก ขนคอตั้งอยู่พอสมควร...

อย่างไรก็ตาม...ภายใต้ความน่าเกลียด น่ากลัว ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีน อันเป็นสิ่งที่ถูกทำให้ฝังราก ฝังลึกอยู่ในจิตสำนึกของบรรดาอเมริกันชน และกลายเป็นสิ่งที่ “รัฐบาลใหม่” ของ “ผู้เฒ่าโจ”มิอาจปฏิเสธความจริงเหล่านี้ไปได้ หรือจำต้องกำหนดแนวนโยบายแบบ “กั๊กไป-กั๊กมา”กับจีนอย่างมิอาจผันแปรไปเป็นอื่น สิ่งที่นักคิด นักวิชาการในเมืองจีน อย่าง “ศาสตราจารย์Yang Xuetong”อธิการบดีด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศแห่งสถาบัน “Institute of International Relations”ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง-ซินหัว ได้แสดงออกถึง “มุมมอง” ที่มีต่อชาวอเมริกันและรัฐบาลอเมริกันยุคใหม่ ไว้ในบทสัมภาษณ์นิตยสาร “Der Spiegel” ของเยอรมนี เมื่อไม่กี่วันมานี้ ก็ออกจะเป็นอะไรที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว คือนอกจากจะมองเห็นถึงทัศนคติแห่งความกลัวจีน เกลียดจีน ในหมู่ชาวอเมริกันโดยส่วนใหญ่อย่างชัดเจนแล้ว ยังให้ความสำคัญต่อทีมงานต่างประเทศของรัฐบาล “ผู้เฒ่าโจ”ที่เต็มไปด้วยบรรดา “ผู้เชี่ยวชาญ”ไม่ได้มีแต่ “มือสมัครเล่น” เหมือนอย่างรัฐบาล “ทรัมป์บ้า” เอาไว้มิใช่น้อย โดยได้สรุปไว้ล่วงหน้า ว่ารัฐบาลอเมริกันยุคใหม่คงไม่คิดเดินตามแนวทางแบบ “โดดเดี่ยวตัวเอง” ของรัฐบาลชุดเก่า แต่จะพยายามหันมาเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว เพื่อสร้าง “พันธมิตร”ในการต่อต้านหรือปิดล้อมจีน ไม่ต่างไปจากรัฐบาลชุดเดิมนั่นเอง...

การเผชิญหน้าระหว่างรัฐบาลอเมริกันกับรัฐบาลจีนในอนาคตเบื้องหน้า...จึงไม่ได้มีแต่เฉพาะภายในขอบเขตน่านน้ำ น่านฟ้า หรือในสงครามไซเบอร์ ฯลฯ เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการเผชิญหน้าในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งทางด้าน “เทคโนโลยี” โดยเฉพาะการครอบงำหรือแข่งขันเพื่อให้ได้มาซึ่งส่วนแบ่งตลาด ใน “ตลาดดิจิทัล”อันถือเป็น “แก่นสาระ”สำคัญของโลกยุคใหม่ในอีกไม่นานนับจากนี้ หรืออาจทำให้เกิดทัศนะทางยุทธศาสตร์ในแบบดิจิทัล (Digital Strategic Mentality) ที่มีความสำคัญซะยิ่งกว่าทัศนคติทางยุทธศาสตร์แบบเดิมๆ หรือทำให้ “ความมั่งคงปลอดภัยทางไซเบอร์” (Cybersecurity) สำคัญซะยิ่งกว่า “ความมั่นคงปลอดภัยทางภูมิรัฐศาสตร์” (Geographic Security) เอาเลยถึงขั้นนั้น โดยมีตลาดในเอเชียตะวันออกที่ใหญ่ยิ่งไปกว่าตลาดในยุโรปไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า อันรวมศูนย์อยู่ที่ 3 ประเทศหลักๆ นั่นคือ จีน-ญี่ปุ่น-และเกาหลีใต้ ที่จะเป็นตัวชี้ขาดความเป็นไปเหล่านี้ภายในอนาคตอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล...

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม...สิ่งที่นักคิด นักวิชาการจีนรายนี้พอมองเห็นอยู่รางๆ คงพอสะท้อนได้จากคำพูด คำให้สัมภาษณ์ ในประโยคที่ว่า... “ความเป็นจักรวรรดินิยมนั้น มีกระบวนการหลักๆ อยู่ 3 ขั้นตอน คือรุ่งเรือง-ชะงักงัน-แล้วล่มสลาย และโดยประวัติศาสตร์การพัฒนาประเทศ จักรวรรดิทุกจักรวรรดิล้วนแต่ต้องล่มสลายอย่างไม่มีข้อยกเว้น โดยสิ่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นอีกครั้งภายในช่วงสหัสวรรษนี้ ดังนั้น...การล่มสลายของอเมริกาไม่ได้เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นใดๆ สำหรับผม แต่คำถามอยู่ที่ว่าจะล่มลงไปแบบไหน โดยหลายต่อหลายปีที่ผมศึกษาเรื่องนี้ จากประวัติศาสตร์ของประเทศอังกฤษ ชาติที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกแต่ต้องล่มสลายเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา หรือการล่มสลายของสหภาพโซเวียต ที่แตกกระจายเหมือนเศษแก้ว ทำให้ผมพอสรุปได้ว่า แนวโน้มของอเมริกานั้น...น่าจะหนักไปทางอังกฤษมากกว่าสหภาพโซเวียต”...จริง-ไม่จริง เชื่อ-ไม่เชื่อ คงต้องเก็บไปนั่งคิด นอนคิด กันเอาเองก็แล้วกัน...




กำลังโหลดความคิดเห็น