เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องเริ่มไปทำความรู้จักกับ “ว่าที่ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ” รายใหม่ ของคุณพ่ออเมริกา ผู้มีนามกรว่า “นางแอฟริล เฮนส์” (Avril Haines) เอาไว้สักนิด เพราะไม่เพียงแต่ถือเป็นผู้หญิงรายแรกที่อาจเข้ามารับตำแหน่งดังกล่าว หรือเพราะความเป็นมือเก่า มือเก๋า ในด้านงานการข่าว เคยเป็นรองผู้อำนวยการหน่วยงานข่าวกรองกลาง อย่าง “ซีไอเอ” หรือเคยขึ้นถึงตำแหน่งรองที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติยุครัฐบาล “โอบามา”ฯลฯ แต่ยังอาจกลายเป็นผู้ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า “แนวรบในตะวันออกกลาง”ในอีกไม่นาน-ไม่ช้าอยู่มั่ง ไม่มาก-ก็น้อย...
คือเหตุที่ต้องให้ค่า ให้ราคา คุณป้า “แอฟริล เฮนส์” เอาไว้ทำนองนี้...ก็เนื่องมาจากช่วงที่เธอเข้าไปให้การเพื่อขอความรับรองจากวุฒิสภาสหรัฐฯ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา (19 ม.ค.) ถ้าว่ากันตามคำพูด คำจา ที่วุฒิสมาชิกรายหนึ่ง อย่าง “นายRoy Wyden”นำมาเปิดเผยให้เป็นที่รับรู้ รับทราบ ก็คือเมื่อต้องเจอกับคำถามที่ว่า เธอพร้อมจะเปิดเผยรายงานลับว่าด้วยผลสรุปของหน่วยงานข่าวกรองต่อกรณีฆาตกรรม “นายจามาล คาช็อกกี” (Jamal Khashoggi) นักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ที่ถูก “ฆ่าหั่นศพ”อย่างชนิดโหดเหี้ยม อำมหิตผิดมนุษย์มนา ณ สถานกงสุลซาอุฯ ในประเทศตุรกี ซึ่งวุฒิสภาเคยเรียกร้องให้รัฐบาลเก่าของ “ทรัมป์บ้า” เปิดเผยรายงานดังกล่าวภายใน 30 วัน แต่ดันถูก “เบี้ยว” เอาดื้อๆ!!! หรือไม่? อย่างไร? และโดยคำตอบของคุณป้า “แอฟริล”นั้น ค่อนข้างชัดเจนเอามากๆ ว่าเธอพร้อมจะทำตามนั้น หรือพร้อมดำเนินการให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นตามตัวบทกฎหมาย อย่างไม่คิดจะบิดพลิ้วไปเป็นอื่น...
อันนี้นี่แหละ...ที่ต้องถือว่า “สำคัญ”เอามากๆ!!! เพราะผลสรุปของรายงานชิ้นนี้ มันคงไม่ได้แค่ก่อให้เกิดความฮือฮา ซู๊ดๆ ซ๊าดๆ กันในหมู่ชาวอเมริกัน หรือภายในสังคมอเมริกันเท่านั้น แต่คงหนีไม่พ้นที่ต้องลุกลามบานปลายไปถึงประเทศแกนหลักในการก่อร่างสร้างพันธมิตรให้กับคุณพ่ออเมริกา รวมทั้งคุณปู่อิสราเอลในภูมิภาคตะวันกลาง อย่างราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรืออาจก่อให้เกิดการบ่งชี้ ไปถึงความเกี่ยวข้อง พัวพันของมกุฎราชกุมารซาอุฯ ผู้ซึ่งกำลังผงาดขึ้นเป็นกษัตริย์ในราชอาณาจักรแห่งนี้อีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นั่นคือ เจ้าชาย “MbS”หรือ “Mohammad Bin Salman”ต่อการออกคำสั่งเด็ดหัว ถลกหนัง ฆ่าหั่นศพ อดีตนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ ที่เคยเป็นถึงคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์ระดับแนวหน้าของอเมริกาหลายต่อหลายฉบับด้วยกัน...
และก็แน่นอนนั่นแหละว่า...ไม่ว่ามกุฎราชกุมาร หรือรัฐบาลซาอุฯ จะออกมาปฏิเสธคอเป็นเอ็นแบบครั้งแล้ว ครั้งเล่าก็ตาม แต่นั่นคงไม่ช่วยให้ “เรื่องจบ” เอาง่ายๆ เพราะด้วยความเหี้ย...มม์ม์ม์ ความอำมหิตระดับ “ม.ม้า” แทบวิ่งตามไม่ทัน ย่อมส่งผลให้เกิดแรงกด แรงบีบ ต่อราชอาณาจักรซาอุฯ มาโดยตลอด ทั้งในระดับโลก หรือแม้แต่ในสังคมอเมริกันเองก็เถอะ ถึงขั้นสมาชิกสภาอเมริกันจำนวนไม่น้อย ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลอเมริกันตัดญาติขาดมิตรกับซาอุฯ ในลักษณะต่างๆ เช่น เลิกขายอาวุธที่กองทัพซาอุฯ และพันธมิตรเอาไว้ใช้ถล่มพวกกบฏ “ฮูตี”ในเยเมน เป็นต้น หรือให้อาศัยบทบาท อำนาจอิทธิพลของสหรัฐฯ กดดันให้กองทัพและรัฐบาลซาอุฯ ยุติการทำสงครามในเยเมนโดยเร็วที่สุด ฯลฯ แต่ก็อย่างว่า...ด้วยเหตุเพราะโดยนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ นั้น มุ่งที่จะอุ้มชู ดูแล “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์”อย่างคุณปู่อิสราเอลมาโดยตลอด ยิ่งโดยเฉพาะรัฐบาลของ “ทรัมป์บ้า”ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นซะยิ่งกว่า “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายอิสราเอล”เอาเลยด้วยซ้ำ และสิ่งที่ถือเป็น “กุญแจสำคัญ”ในการตอบสนองต่อนโยบายดังกล่าว ก็คือบทบาทของราชอาณาจักรซาอุฯ และโดยเฉพาะมกุฎราชกุมาร “MbS” รายนี้...นี่เอง!!!
ดังนั้น...แทนที่คิดจะเปิดเผยผลรายงานการสืบสวน สอบสวน ของหน่วยข่าวกรองอเมริกันกรณีการฆาตกรรมนักหนังสือพิมพ์ชาวซาอุฯ เลิกขายอาวุธ เลิกสนับสนุนกองทัพซาอุฯ ให้ถล่มเยเมน ฯลฯ ตามที่ใครต่อใครออกมาเรียกร้องต้องการ ก่อนที่จะอำลา-อาลัยจากตำแหน่งประธานาธิบดีอเมริกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้นเอง รัฐบาล “ทรัมป์บ้า”ยังตัดสินใจขายกระสุนระเบิดนำวิถี 3,000 กว่าลูก มูลค่าถึงประมาณ 290,000 ล้านดอลลาร์ ให้กับรัฐบาลซาอุฯ ซะเฉยเลย!!! หรือพยายามมุ่งรักษาสัมพันธภาพอันดีกับซาอุฯ แบบชนิดไม่สนใจความเป็นไปของโลก หรือของมนุษย์มนาใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ด้วยเหตุเพราะบทบาทอันถือเป็น “กุญแจสำคัญ”ของซาอุฯ นี่เอง ที่ทำให้บรรดาประเทศบริวารในตะวันออกกลาง อย่างยูเออี และบาห์เรน ยอมโผเข้าจูบปากประเทศอิสราเอล ยอมรื้อฟื้นสัมพันธภาพปกติกับรัฐบาลไซออนิสต์ ตามแผนสันติภาพของสหรัฐฯ ในตะวันออกกลาง หรือตาม “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ที่ลูกเขยชาวยิวของประธานาธิบดีอเมริกัน เป็นผู้ชงเอง กินเอง ทั้งๆ ที่บรรดาชาติอาหรับทั้งหลายต่อต้าน คัดค้านมาโดยตลอด...
แม้ว่าตัวของรัฐบาลซาอุฯ เอง...ยังไม่ถึงกับยอมหันไปรื้อฟื้นสัมพันธภาพโดยปกติกับอิสราเอลอย่างเป็นทางการ แต่การอนุญาตอนุมัติ ให้เครื่องบินโดยสารยูเออี สามารถใช้น่านฟ้าซาอุฯ บินรับ-ส่งผู้โดยสาร จากอิสราเอลไปยังยูเออี ได้แบบไม่คิดมูลค่า ก็ถือเป็นการ “เปิดไฟเขียว”ให้กับนโยบายดังกล่าว อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ยิ่งมีความพยายาม “ติดสินบน” ประเทศมุสลิมรายอื่นๆ ไม่ว่าซูดาน ที่ถูกถอดชื่อออกจากความเป็นประเทศก่อการร้ายของสหรัฐฯ โมร็อกโกที่ได้รับคำประกาศรับรองอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนซาฮาราตะวันตกโดยอเมริกาอย่างเป็นทางการ สิ่งเหล่านี้...ล้วนแล้วแต่ทำให้นโยบายต่างประเทศของอเมริกาในตะวันออกกลาง ยุค “ทรัมป์บ้า”จึงเป็นไปในแบบ “เพื่ออิสราเอล โดยอิสราเอล และของอิสราเอล”แบบชนิดสุดลิ่มทิ่มกระดาน โดยมีรัฐบาลซาอุฯ นี่แหละ เป็น “กุญแจสำคัญ” ในการดำเนินการในลักษณะที่ว่า...
ด้วยเหตุนี้...การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หรือการเปลี่ยนรัฐบาลอเมริกัน จากยุค “ทรัมป์บ้า”กลายมาเป็นยุค “ผู้เฒ่าโจ”จึงทำให้บรรดาพันธมิตรอเมริกาในตะวันออกกลาง ต่างเกิดอาการขนหัวลุก ขนคอตั้ง กันไปมิใช่น้อย ไม่เพียงแต่มกุฎราชกุมารหรือรัฐบาลซาอุฯ ที่อาจต้องถูกกด ถูกบีบ กันอีกครั้ง แม้แต่รัฐบาลอิสราเอลช่วงนี้ ก็ออกจะหนาวๆ ร้อนๆ อยู่พอสมควร ยิ่งเมื่อวุฒิสมาชิกอเมริกันแห่งรัฐเท็กซัส “นายTed Cruz”หนึ่งในผู้ใกล้ชิด “ทรัมป์บ้า”ออกมาให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ “Hayom” ของอิสราเอลไปเมื่อวันพุธ (20 ม.ค.) นี่เอง ว่านโยบายต่างประเทศของรัฐบาลอเมริกันยุค “ผู้เฒ่าโจ” อาจก่อให้เกิด “อันตราย”ต่อเสถียรภาพความมั่นคงของอิสราเอลเอาง่ายๆ โดยเฉพาะความพยายามหันไปรื้อฟื้น “ข้อตกลงนิวเคลียร์”กับอิหร่าน ที่เคยอุบัติขึ้นมาในยุค “โอบามา”แต่ถูก “ทรัมป์บ้า”สะบัดตูดลุกหนีเอาดื้อๆ...
โดยถ้าว่ากันตาม “รายงานข่าว”ของหนังสือพิมพ์ “Le Figaro”ของฝรั่งเศส ดูเหมือนว่า “ผู้เฒ่าโจ”และทีมงาน ก็น่าจะออกมาในแนวนี้นั่นแหละ คือสรุปว่าได้มีความพยายามต่อสาย เจรจา ระหว่างทีมงานด้านต่างประเทศของประธานาธิบดีอเมริกันรายใหม่ กับตัวแทนประเทศอิหร่านประจำยูเอ็น คือ “นายMajid Takht Ravani”ในเรื่องการรื้อฟื้นข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอลเคยเกลี้ยกล่อมผู้นำอเมริกาให้ถอนตัวเป็นผลสำเร็จกันด้วยวิธีไหน อย่างไร จะยืนยันตามข้อตกลงเก่าหรือพยายามกดดัน เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงไปสู่ข้อตกลงใหม่ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...ด้วยความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอเมริกานี่เอง กำลังเป็นตัวส่งผลให้บรรดาประเทศพันธมิตรอเมริกาในตะวันออกกลาง เริ่มออกอาการ “หลับไม่ลง”กันไปเป็นแถบๆ อันเนื่องมาจากสิ่งต่างๆ เหล่านี้...อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโฉมหน้า “แนวรบตะวันออกกลาง” ให้ผิดแผกแตกต่างไปจากเดิมไม่ว่ามากหรือน้อย หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ใครที่เคยคบหาสมาคม เคยเห็นดี เห็นงาม กับ “ทรัมป์บ้า” ย่อมมีสิทธิ “ซวยไปด้วย”อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้นั่นเอง...