มาวันนี้...ยังไงๆ คงหนีไม่พ้นต้องหันไปเงี่ยหูฟังเสียงเอะอะโครมครามข้างๆ บ้านเอาไว้มั่ง!!! เพราะเสียงเคาะหม้อ เคาะกระทะ เคาะกระป๋อง หรือเคาะกะโหลกกะลาอะไรต่างๆ มันออกจะ “ดัง” ซะเหลือเกิน หรือเรื่องการออกมา “ประท้วง” เผด็จการทหารของประเทศพม่า หรือเมียนมา เขานั่นแหละ ที่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชักจะมาแรงแซงโค้ง ยิ่งๆ ขึ้นไปตามลำดับ...
คืองานนี้ต้องเรียกว่า...น่าจะไม่ได้เกี่ยวพันอะไรมากมายสักเท่าไหร่นัก กับ “แรงหนุน” หรือ “แรงต้าน” จากนอกประเทศ หรือจาก “ปัจจัยภายนอก” แม้ว่าประเทศพม่า อาจถือเป็น “จุดยุทธศาสตร์” ที่มีความสำคัญเอามากๆ ต่อบรรดามหาอำนาจในแต่ละราย ไม่ว่าอเมริกาและพันธมิตรตะวันตก ไปจนถึงจีน ถึงอินตะระเดีย โน่นเลย แต่สำหรับใครที่มีโอกาสได้อ่านข้อคิด ข้อเขียนของ “นายเบอร์ทิล ลินต์เนอร์” (Bertil Linter) เรื่อง “China the geopolitical winner of Myanmar’s coup” ที่เว็บไซต์ “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา เพิ่งนำมาแปล นำมาถ่ายทอดต่อแบบสดๆ ร้อนๆ ในภาคภาษาไทยว่า “จีนคือผู้ชนะในทางภูมิรัฐศาสตร์ของการรัฐประหารพม่า” อะไรประมาณนั้น ก็คงพอ “เข้าถึง” และ “เข้าใจ” ได้บ้างว่า แม้ว่าคุณพี่จีนท่านไม่ได้คิดจะออกมาเอะอะโวยวาย เพรียกหาเสรีภาพ หรือสิทธิมนุษยชนอะไรต่อมิอะไร อย่างบรรดาประเทศอเมริกาและตะวันตกทั้งหลายก็ตาม แต่นั่นก็ใช่ว่า ท่านจะเห็นดี เห็นงาม เห็นควรด้วย กับการก่อรัฐประหารของผู้นำทหาร อย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” แบบชนิดเต็มสูบ เต็มด้าม เพราะการดำเนินนโยบายด้านต่างๆ ระหว่างจีนกับรัฐบาลพลเรือนของพม่า ภายใต้การนำของ “นางอองซาน ซูจี” ก็ค่อนข้างไปได้สวย ไปด้วยดี จนแทบไม่ต้องเสียเวลาไปขนเงิน ขนทอง ขนกระสุน ไปช่วยทหารพม่า แบบยุคการรัฐประหารเมื่อกว่า 30 ปีที่แล้ว หรือเมื่อครั้งการรัฐประหาร “8-8-88” อีกต่อไป การแสดงออกถึงความพยายาม “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” อันเป็นจุดยืนสำคัญของคุณพี่จีนเขามานานแล้ว จึงถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา หรือเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ไม่ยาก...
เช่นเดียวกับบรรดาประเทศบ้านใกล้-เรือนเคียง อย่าง “อาเซียน” ที่รวมไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาเข้าไว้ด้วย แม้จะมีข่าวคราวการทำท่าขยับเนื้อ ขยับตัว ของบางประเทศ อย่างมาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือฟิลิปปินส์อยู่บ้าง ต่อการก่อรัฐประหารของทหารพม่าคราวนี้ แต่สุดท้าย...ด้วยการยึดมั่นอยู่ในหลักการแบบเป็นแท่งๆ ด้ามๆ ในอันที่จะ “ไม่แทรกแซงกิจการภายใน” ซึ่งกันและกัน ของบรรดามวลสมาชิกอาเซียนทั้งหลาย ก็น่าจะทำให้การรัฐประหารและการต่อต้านรัฐประหาร ที่กำลังอุบัติขึ้นมาในประเทศพม่าคราวนี้ อาจถือเป็นการ “วัดช่วงชก” ระหว่าง “ทหารพม่า” กับ “ประชาชนชาวพม่า” โดยตรง เอาเลยก็ว่าได้ ว่าจะยอม “เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน ฮึ๊มฮึม ฮึ๊มหึ่ม” ไปอีกสัก 1 ปี ตามที่ฝ่ายรัฐประหารเขาได้สัญญาเอาไว้ หรือไม่อย่างไร หรือไม่อาจอดรน อดทนต่อไปได้อีกแล้ว ต้องลุกขึ้นมาเคาะหม้อ เคาะกะลา เคาะกระทะ และเคาะอะไรต่อมิอะไรจนดังสนั่นลั่นโลกยิ่งเข้าไปทุกที...
เพราะถ้าว่ากันตาม “ข่าวล่า-มาเรือ” ของบรรดาสื่อต่างๆ...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า การลุกขึ้นมาประท้วงและลงถนนของบรรดาชาวพม่าคราวนี้ ต้องเรียกว่า...ออกจะ “เอาเรื่อง” อยู่พอสมควรทีเดียว คือออกกันมาหลายต่อหลายเมือง ไม่ว่าที่เมืองหลวงเก่า อย่างย่างกุ้ง เมืองมัณฑะเลย์ เมาะลำเลิง ไปจนถึงเมียววดี ฯลฯ ที่อยู่ตรงข้ามบ้านเรา ชนิดต้องระเบิดกระสุน ระเบิดแก๊สน้ำตากันไปมั่งแล้ว หรือถ้าว่ากันตามสื่อตะวันตกอย่าง “The Guardian” ของอังกฤษ เห็นว่าออกกันมาเป็นแสนๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น สำหรับการ “ลงถนน” เพียงแค่วันที่ 2 เท่านั้นเอง แม้จะมีการตัดโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต หรือพยายามควบคุมการติดต่อสื่อสารภายในประเทศกันในลักษณะไหนก็ตาม แต่ในโลกยุค “IT” แล้ว ออกจะเป็นอะไรที่ยากส์ส์ส์เอามากๆ อีกทั้งถ้าหากไปดูฐานเสียง ฐานคะแนน ของบรรดาผู้ที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ไม่ว่าจะโกง-ไม่โกง แบบมีหลักฐาน-ไม่มีหลักฐาน ยังไงก็แล้วแต่ แต่การคว้าเก้าอี้ ส.ส.ทั่วประเทศมาได้ถึง 300 เกือบ 400 เก้าอี้ ของพรรค “NLD” หรือพรรครัฐบาลของ “อองซาน ซูจี” เหลือเก้าอี้ให้พรรคนิยมทหารแค่ 30 กว่าเก้าอี้เท่านั้นเอง อันนี้...ย่อมทำให้โอกาสที่การประท้วงจะระเบิดเถิดเทิง เกิดการลุกลาม บานปลายไปกว่า “ม็อบ 3 นิ้ว” ของบ้านเราชนิดไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
อีกทั้งผู้นำทหาร อย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” ที่ลุกขึ้นมาก่อการรัฐประหารในคราวนี้...อาจไม่ได้ถึงกับมี “ลูกเหี้ยม” เท่ากับอดีตนักรัฐประหารพม่ายุคเก่าๆ ไม่ว่า “เนวิน” หรือ “ตานฉ่วย” แต่หนักไปทาง “ลื่นไหล” ซะมากกว่า และภายใต้ความลื่นไหลที่ว่าก็คงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ “อดีตรัฐบุรุษ” ของบ้านเรา อย่าง “ป๋าเปรม” หรือ “พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์” มากมายสักเท่าไหร่นัก แม้จะมีความพยายามโฆษณาประชาสัมพันธ์ ว่าตัวเองมีสถานะเป็นเสมือนหนึ่ง “บุตรบุญธรรม” ของป๋าเอาเลยก็ตาม แต่อย่างที่ใครต่อใครซึ่งยังไม่ได้หลงลืมบรรดาคำพูด คำซุบซิบนินทาเก่าๆ ที่อดีต “นายพลถั่งเช่า” ของบ้านเรา เคยเจ๊าะๆ แจ๊ะๆ กับอดีตนายกรัฐมนตรีคู่แค้น คู่กัด ของ “ป๋าเปรม” คืออดีตนายกฯ “ทักษิณ ชินวัตร” ที่หลุดรอดมาเป็นข่าวคราวเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ก็น่าจะประมาณการได้ ว่า “ความลื่นไหล” ของ “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” นั้น ไหลไปในทางไหนกันแน่!!!
หรือสรุปง่ายๆ ว่า...ไหลไปทาง “ผลประโยชน์ส่วนตน” นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ได้เกี่ยวกับส่วนรวม หรือ “ผลประโยชน์แห่งชาติ” สักกี่มากน้อย ไม่งั้นคงไม่ถึงกับหาญกล้ายกที่ดินใจกลางกรุงย่างกุ้ง ให้เป็นอภินันทนาการกับ “นายพลถั่งเช่า” บ้านเราแบบเห็นๆ หรือสามารถโยกซ้าย โยกขวา ให้โครงการพัฒนาเขตเศรษฐกิจในทวาย เป็นไปในรูปไหนก็ย่อมได้ เพียงแค่อาศัย “ผบ.สูงสุดเมืองไทย” ที่ผลัดกันกินข้าวกับ “ผบ.สูงสุดพม่า” กันเดือนละครั้ง คอยกระชุ่น คอยกระตุ้น ไปตามความปรารถนาความต้องการของอดีตนายกฯ เมืองไทย ด้วยเหตุนี้...สิ่งที่ผู้อำนวยโครงการ “UK Burma Campaign” อย่าง “นายMark Farmaner” ได้สรุปเอาไว้ว่า “นี่คือการรัฐประหารของมิน อ่อง หล่าย ไม่ใช่การรัฐประหารของกองทัพพม่า” จึงออกจะเป็นอะไรที่มี “น้ำหนัก” อยู่พอสมควรเหมือนกัน หรือทำให้ข่าวคราวเรื่องความพยายามแสวงหา “ผลประโยชน์ส่วนตัว” ผ่านบริษัทวิสาหกิจ 2 แห่ง คือบริษัท “MEC” และ “MEHL” ที่เข้าไปยุ่มย่ามกับบรรดาธุรกิจต่างๆปานประดุจหนวดปลาหมึก รวมไปถึงธุรกิจของครอบครัว ของลูกชาย ลูกสาว และลูกบุญธรรม ฯลฯ ก็พลอยมีน้ำหนักตามไปด้วย...
ดังนั้น...เมื่อต้องเจอกับการเคาะหม้อ เคาะกะโหลก กะลา เคาะกระทะ ฯลฯ อย่างเป็นระบบและเป็นกระบวนการยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โอกาสที่นักรัฐประหารอย่าง “พล.อ.มิน อ่อง หล่าย” จะ “ยืนระยะ” ไปได้แบบ 6 ปี 7 ปี เหมือนอย่างท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” บ้านเรานั้น ออกจะเป็นอะไรที่ลำบากยากเย็นเอามากๆ ถึงจะนำเอาเนื้อร้อง ทำนอง จากบทเพลง “เราจะทำตามสัญญา...ขอเวลาอีกไม่นาน ฮึ๊มฮึม ฮึ๊มหึ่ม” ไปแปลงเป็นภาษาพม่าเอาเลยก็ตาม เพราะไม่ว่าประชาชนธรรมดา ครู หมอ ไปจนถึง “พระพม่า” ที่ได้ชื่อว่ายาวอีเหลนเป๋นกว่า “พระไทย” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ฯลฯ ได้พร้อมอก พร้อมใจ ร่วมมือ ร่วมใจ นัดหยุดงาน นัดลงถนนเพิ่มขึ้นๆ ยิ่งเข้าไปทุกที ชนิดแม้แต่ “โป๊ป” หรือ “พระสันตะปาปาฟรานซิส” ที่เพิ่งเดินทางไปเยือนพม่าเมื่อไม่นานมานี้ ยังทรงออกมาป่าวประกาศถึง “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว” กับชาวพม่าในการปฏิเสธและคัดค้านการรัฐประหารอีกด้วยต่างหาก ด้วยเหตุนี้...โอกาสที่ “มิน อ่อง หล่าย” จะลายพร้อยไปทั้งตัว ด้วยฝีมือชาวพม่าด้วยกันเอง หรือด้วย “ปัจจัยภายใน” ของสังคมพม่าเอง จึงเป็นสิ่งที่คงต้องเฝ้าติดตามกันไปเป็นระยะๆ แม้ว่าจะไม่มีการ “แทรกแซง” จากภายนอกเอาเลยก็ตาม...