มีการพูดกันมากว่าการชุมนุมของคนหนุ่มสาวในประเทศไทยขณะนี้ ทำให้ประเทศไทยไม่กลับมาเหมือนเดิมอีกแล้ว ผมคิดว่าสิ่งที่เขาเอามาอธิบายสนับสนุนก็คือ พฤติกรรมของคนในชาติที่แสดงออกต่อพระเจ้าแผ่นดิน
เพราะพูดได้ว่า การชุมนุมครั้งนี้มีการนำเอาพระมหากษัตริย์มากล่าวหาตำหนิติเตียนอย่างเปิดเผยไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีการเรียกพระนามด้วยชื่อสั้นโดยไม่มีคำนำหน้านาม แถมยังนำเอาพระนามมาเสียดสีเยาะเย้ยถากถางล้อเลียนกันอย่างสนุกปาก ที่แม้จะเปลี่ยนเป็นการเอาชื่อคนธรรมดามากระทำเช่นนั้น ก็ยังเข้าข่ายหมิ่นประมาทอยู่ดี
แต่พระมหากษัตริย์มิใช่บุคคลธรรมดาแม้จะเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกันกับบุคคลอื่น แต่ทรงดำรงสถานะเป็นพระประมุขของประเทศที่ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 ที่ว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้
สถานะประมุขของประเทศก็ย่อมจะเกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ ดังนั้น กฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่ว่า “ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปีถึง 15 ปี” จึงถูกบัญญัติไว้ในหมวดเกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ
การดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์จึงเป็นความผิดต่ออาญาแผ่นดิน คือ ความผิดที่หากมีการกระทำแล้วนอกจากจะมีผลกระทบต่อผู้ที่ถูกกระทำโดยตรงแล้ว ยังมีผลกระทบต่อสังคมโดยรวมอีกด้วย ดังนั้น รัฐจึงต้องเข้าดำเนินการเอาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ แม้ผู้ที่ถูกกระทำนั้นจะไม่ติดใจเอาความหรือดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไปแล้วก็ตาม ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันสังคมโดยรวม และใครก็ตามเมื่อเห็นมีผู้กระทำความผิดต่ออาญาแผ่นดินก็มีสิทธิ์ที่จะร้องทุกข์หรือแจ้งความดำเนินคดีได้
ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว จะไปให้พระมหากษัตริย์ใช้กฎหมายหมิ่นประมาทร่วมกับบุคคลธรรมดาไปเดินขึ้นโรงพักขึ้นศาลฟ้องหมิ่นประมาทบุคคลอื่นด้วยพระองค์เอง ก็จะเป็นเรื่องที่แปลกและไม่ควรเกิดขึ้น เพราะพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศและได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และถ้าไม่มีกฎหมายปกป้องสถานะประมุขของรัฐเช่นนั้นแล้ว เราจะมีประมุขของรัฐไปทำไม
ทั้งนี้การปกป้องประมุขของรัฐด้วยกฎหมายนั้น ก็เป็นหลักสากลที่ทุกชาติจะต้องมีอยู่ ต่างกันเพียงแต่จะกำหนดโทษหนักเบาแตกต่างกันไปเท่านั้น
ยอมรับว่าในอดีตการดำเนินคดีตามมาตรา 112 นั้นรายละเอียดของข้อหาแทบไม่มีเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้ต้องหามักเผชิญอุปสรรคตลอดคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขอประกันตัวชั่วคราว มีการกักขังก่อนพิจารณาคดีในศาลหลายเดือน แต่ในปัจจุบันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว เพราะเราจะเห็นได้ว่า ผู้ถูกดำเนินคดีในมาตรา 112 จะได้รับการประกันตัวทุกคน มีการพิจารณาคดีอย่างเปิดเผย และมีหลายคดีที่ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง
ดังนั้นผู้ถูกกล่าวหาตามมาตรา 112 จึงได้รับความเป็นธรรมตามตัวบทกฎหมาย ตามพฤติกรรมที่กระทำ จากกระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มเปี่ยม มีการพิสูจน์ได้จากการพิจารณาคดีมาตรา 112 หลายคดีในยุคนี้
แต่การที่มีคนออกมาด่าทอดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์อย่างเปิดเผยบนท้องถนนกันอย่างอุกอาจครึกโครมอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และผู้ใหญ่ซึ่งให้ท้ายออกมาเชียร์ว่านี่เป็นปรากฏการณ์ใหม่ทะลวงเพดานที่เป็นนิมิตหมายใหม่ของสังคมไทย ย่อมจะรู้อยู่แก่ใจดีอยู่แล้วว่า การกระทำเช่นนั้นเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิด เพราะผู้ใหญ่ที่ส่งเสียงให้ท้ายเด็กเหล่านั้นก็ไม่กล้ากระทำเช่นนั้นมาก่อน เพราะกลัวจะถูกดำเนินคดี
ดังนั้นเมื่อมีผู้กล้าออกมากล่าวหาพระมหากษัตริย์จำนวนมากอยู่บนท้องถนน ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ตำรวจจะต้องดำเนินคดี และเมื่อมีผู้กล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์จำนวนมาก ก็ต้องมีผู้ถูกดำเนินคดีมากตามมาด้วยซึ่งเป็นหลักที่สัมพันธ์สอดคล้องกัน ถ้าตำรวจไม่ดำเนินคดีก็จะมีความผิดเสียเอง เพราะคำกล่าวหาต่อพระมหากษัตริย์ของผู้ชุมนุมหลายคนนั้น ได้ยินและรับรู้กันทั่วในบ้านเมืองของเรา
เช่นเดียวกับมีผู้ต้องหาในคดีค้ายาบ้าเยอะ ก็เพราะมีผู้ค้ายาบ้าเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน จะมากล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่รัฐมีความผิด เพราะเอากฎหมายความผิดฐานค้ายาบ้ามาบังคับใช้มากขึ้นกว่าในอดีตก็ไม่น่าจะถูกต้อง
เมื่อกฎหมายอาญามาตรา 112 ยังบังคับใช้อยู่มันก็ต้องทำหน้าที่ของมัน ถ้ากฎหมายไม่ทำหน้าที่ของมัน เราก็คงไม่สามารถดำรงความเป็นรัฐเอาไว้ได้
แต่ตอนนี้เกิดตรรกะและปรากฏการณ์ที่แปลก เพราะเมื่อมีผู้กระทำผิดมากขึ้นแล้วกฎหมายทำหน้าที่ของมันกลับโทษว่ากฎหมายทำหน้าที่ของมันมากเกินไป ทั้งที่เรารู้อยู่แล้วว่า กฎหมายเป็นเครื่องมือในการควบคุมความสงบเรียบร้อยของสังคม และต้องบังคับใช้ถ้าคนในสังคมละเมิดต่อกฎหมาย ไม่ใช่เมื่อละเมิดต่อกฎหมายและไปโทษว่ากฎหมายผิด หรือกล่าวหาว่า รัฐใช้กฎหมายเป็นนิติสงคราม เพราะนี่เป็นหลักนิติรัฐที่เป็นหลักสากลของสังคมปกติไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อน
กฎหมายมันมีของมันอยู่แล้ว เมื่อละเมิดก็ต้องมีความผิดจะเป็นนิติสงครามได้อย่างไร ยกเว้นว่า โทษนั้นไม่เคยเขียนไว้เป็นความผิดมาก่อน แล้วรัฐไปเขียนกฎหมายขึ้นมาใหม่เพื่อย้อนมาเอาผิดหรือไปเอากฎหมายที่ไม่ตรงกับฐานความผิดมาลงโทษแบบไม่มีหลักมีเกณฑ์แบบมั่วไปหมดแบบนั้นต่างหากจึงเป็นนิติสงคราม
คนที่กระทำผิดและโทษว่ากฎหมายผิดนั่นต่างหากที่เป็นผู้ก่อนิติสงครามเสียเอง คนที่ทำผิดและเรียกร้องให้ยกเลิกกฎหมายนั่นต่างหากเป็นอนารยชนที่ไม่เคารพกฎเกณฑ์ของสังคมและหลักนิติรัฐในการบังคับใช้เพื่อสร้างสังคมที่สันติสุขและมีกติการ่วมกัน
ทุกวันนี้เราได้ยินคนจำนวนหนึ่งเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 บอกว่าเลิกมาตรา 112 สิเดี๋ยวเขาจะพูดให้ฟัง ก็เพราะเขาต้องการที่จะมีเสรีภาพในการดูหมิ่น หมิ่นประมาทอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ประมุขของรัฐอย่างเปิดเผย ซึ่งคงไม่มีสังคมอารยะที่ไหนอนุญาตให้กระทำเช่นนั้นได้ เราเห็นคนที่เรียกร้องให้เลิกมาตรา 112 เพราะตัวเองฝ่าฝืนกระทำความผิดซึ่งเป็นการเรียกร้องที่ขัดต่อหลักนิติรัฐซึ่งเป็นหลักที่ทุกสังคมต้องมี
ลองนึกสิมีใครบอกว่าเลิกกฎหมายห้ามค้าห้ามเสพยาบ้าสิ ฉันจะค้ายาบ้าและเสพให้ดู โดยอ้างว่ามันเป็นเสรีภาพของความเป็นมนุษย์ที่จะค้าหรือเสพอะไรก็ได้
แต่ถ้าเรากล้าที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย เราต้องพร้อมที่จะยอมรับการพิจารณาคดีตามกฎหมาย ในอดีตคนที่กล้าจะลุกขึ้นมาต่อกรกับรัฐ เขาก็พร้อมที่จะท้าทายต่อกฎหมายของรัฐ ไม่มีใครบอกว่า เลิกกฎหมายกบฏต่อรัฐสิแล้วฉันจะกบฏให้ดูหรือถูกจับในข้อหากบฏและโทษว่ากฎหมายผิดตัวเองไม่ได้ผิด ซึ่งเป็นตรรกะที่บิดเบี้ยว
ผมไม่ได้ขัดข้องต่อข้อเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายมาตรา 112 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโทษที่สูงเกินไปหรือไม่ หรือการบังคับใช้อย่างยุติธรรมไม่กลั่นแกล้งเหวี่ยงแห แต่ถ้ากฎหมายยังอยู่กฎหมายก็ต้องทำหน้าที่ของมันไม่ใช่โทษว่ากฎหมายผิด
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan